มะแขว่น (๑๐)

ฮะ ฮะ .. ฮัด เช่ย !!  ฮะ ฮะ .. ฮัด เช่ย !!

.

มะแขว่นจามติดกันสองครั้ง ขณะกำลังเก็บงานฟุ้ง ๆ บนโต๊ะ

หยิบกระดาษที่ใช้ขีดเขียนงานให้ซ้อนกันเป็นตั้ง

วางเป็นตับ เคียงข้างกองหนังสือที่ยังต้องใช้

.

ฟิ้ววว .. วว .. ว ..

.

สายลมที่เข้ามาทางหน้าต่าง พัดกระดาษปลิวไป

มะแขว่นตามเก็บทีละแผ่น จนถึงแผ่นสุดท้ายที่สงบนิ่งอยู่ใต้โต๊ะ 

หยิบมาถือไว้ แล้วสะดุดในใจ

มันคือกระดาษที่จัดเตรียมให้เด็ก ๆ ในเช้าวันนั้นนี่นา

เห็นลายเส้นสีหวานเป็นภาพดอกบัวบานแย้ม .. โย้เย้

มองแล้วมะแขว่นเผลอยิ้มออกมา พลางคิดถึงช่วงเวลาอันแสนสุขนั้น  

.

ฟิ้ววว .. วว ..  ว ..

.

ลมพัดแรงขึ้น และแล้วฝนก็เริ่มลงเม็ด

.

ฮะ ฮะ .. ฮัด ชิ้ววว !!  ฮะ ฮะ .. ฮัด ชิ้ววว !!

.

จะไม่สบายไปหรือเปล่านะ ?

ไม่หรอกน่า

จามสองครั้งติดกันแบบนี้ เค้าว่ากันว่ามีคนคิดถึงนี่นา

ปิดหน้าต่างแล้วไปนอนฟังเสียงฝนดีกว่า  พรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันเรื่องงานที่ค้างไว้

ขอให้นอนหลับฝันดีจ๊ะเด็ก ๆ .. 🙂

– – –

8 comments

  1. ถ้าจามทีเดียว แปลว่ามีคนนินทา
    จาม ๓ ที แปลว่ามีคนเกลียด
    แต่ถ้าจากไม่หยุด แปลว่าไม่ฉะบายยยยย

  2. เจอแว้ว เจอแล้วขอรับท่านโซลเจี๊ยบ
    ข้าพเจ้าเจอท่านพี่ซุนปินแล้ว!!!

    http://www.baanjomyut.com/blog/chunpin/

    แวบๆมาส่งข่าว(ดีใจเกินเจอนักเขียนในดวงใจ5555)

    ไปละ

    (แวบ)

  3. ผีหลอก! น่ากัวๆๆ บรื๋อๆๆๆๆๆๆๆ มะกอกกัวผีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    .
    .
    หมาดำ………………….โดย สิญจน์ สวรรค์เสก
    .
    .
    ผีปอบตนนี้สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า มันจะออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืน ดวงวิญญาณของมันแข็งกล้ามากเพราะฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน มันจะปรากฏกายอย่างเงียบกริบเหมือนการมาถึงของความมืด ลงมือฆ่าคนอย่างเลือดเย็น แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับการมาเยือนของแสงพระอาทิตย์ ทิ้งเพียงซากศพที่ไร้อวัยวะภายใน เอาไว้ให้ชาวบ้านดูอย่างสยดสยองยามเช้า

    ชายวัยกลางคนผู้นี้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้มีคาถาอาคมกล้า อีกทั้งน่าจะเชี่ยวชาญด้านไสยศาสตร์มนต์ดำต่างๆ แกถูกชาวบ้านแห่งนี้เชิญมาปราบผีร้ายตนนี้โดยเฉพาะ

    ค่ำวันนี้ บรรยากาศช่างเงียบเหงาพิลึก ท่ามกลางแสงหม่นของเดือนข้างแรม ไม่มีเสียงแว่วของนกกลางคืนออกหากิน หรีดหริ่งเรไรก็เงียบกริบ บรรดาสุมทุมพุ่มไม้ล้วนยืนนิ่ง จะมีก็แต่กลิ่นหอมของดอกอูนป่าเท่านั้น ที่เคลื่อนไหวในอากาศอย่างอ้อยอิ่ง กลิ่นของมันหอมนวลเข้ากับบรรยากาศที่หนาวสด ทว่าเงียบเชียบและลี้ลับอย่างบอกไม่ถูก

    ชายผู้นี้ล้วงกรักไม้ขีดออกจากย่าม เปิดกรักหยิบก้านมันออกมา สีเข้ากับข้างกล่อง มันส่งเสียงฟู่ส่องเปลวไฟเต้นระริกในความมืด แกค่อยๆ เอาอุ้งมือป้องเปลวไฟ แล้วจุดกับฟางแห้งและเศษไม้เพื่อก่อไฟผิง

    จากนั้นเอื้อมหยิบเอาปืนลูกซองมาถือไว้ หักลำเช็ดถูทำความสะอาดลำกล้อง ล้วงเอาลูกปืนออกมาจากย่าม บรรจงแซะปลายปลอกกระสุนออก เทลูกตะกั่วทั้งเก้าเม็ดลงบนฝ่ามือแล้วเอาเก็บไว้ในย่าม จากนั้นหยิบเอาห่อผ้ายันต์สีแดงซึ่งห่อลูกตะกั่วเม็ดเท่าปลายนิ้วมือออกมา ตะกั่วแต่ละเม็ดจะลงอักขระขอม เป็นคาถาอาคมที่ใช้ปราบภูตผีทุกชนิด

    แกค่อยๆ เอาลูกตะกั่วลงอาคมยัดเข้าไปในปลอกลูกปืน ขณะกดปลอกปิดผนึกก็บริกรรมคาถากำกับตามไปด้วย เสร็จสิ้นดีแล้วก็บรรจุกระสุนนัดนั้นเข้ารังเพลิง แล้วกดลำกล้องปืนเข้าที่เตรียมพร้อมรับมือกับผีปอบ

    ในความมืดลึกเข้าไปในป่า มีสิ่งหนึ่งปรากฏกายขึ้น มันเคลื่อนไหวช้าๆ เข้าหาชายคนนั้นที่ข้างกองไฟ

    แสงจันทร์ที่ลอดใบไม้ลงมา ทำให้พอให้คาดเดาได้ว่าสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวในป่านั้นคือร่างมนุษย์ แต่ใบหน้าของร่างนั้นดูลี้ลับไม่เหมือนคนมีชีวิต ใบหน้าของหญิงชราผู้นี้ตอบผอม เบ้าตาดำ ทว่าดวงตาที่อยู่ลึกลงไปนั้น กลับส่องประกายคุโชนเหมือนถ่านไฟก็ไม่ปาน ดวงตานั้นไม่เคยกระพริบ มันพุ่งไปข้างหน้าราวกับอาฆาตแค้นชายผู้นั้น และเหมือนจะรู้ว่าชายผู้มาเยือนนี้มีวิชาอาคมไม่ธรรมดา นางไม่หายใจ แต่ทำไมนางถึงรู้

    ใช่! เพราะนางมีวิญญาณ เป็นวิญญาณที่หิวกระหายและโกรธเคือง เมื่อรู้ว่ากำลังถูกศัตรูผู้มีอาคมฉกาจ เดินทางมาถึงถิ่น โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ตัวนาง ไม่ใช่สิ เขามีเป้าหมายอยู่ที่วิญญาณของนางต่างหาก

    ชายวัยกลางคนผู้นั้นยังไม่รู้สึกถึงการมาของนาง แกยังคงนั่งแกะปลอกกระสุนปืน เปลี่ยนลูกตะกั่วออกแล้วบรรจุกระสุนอาคมลงไปเหมือนเดิม ขณะที่แกกำลังหลับตาบริกรรมอาคมปิดปลอกลูกปืนอยู่นั้น มีเสียงดังแซ้บเบาๆ มาจากป่าด้านหลัง ลำพังแค่เสียงนั้นคงไม่จุดความสนใจให้แกได้ ถ้าไม่มีไอเย็นอันลึกลับชนิดหนึ่งเคลือบคลุมมากับเสียงนั้นด้วย แกลืมตาขึ้นช้าๆ ใบหน้านิ่งเฉยราวกับนักพรตผู้อยู่ในองค์ภาวนา แล้วเปิดริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ปล่อยคำพูดเนิบๆ ออกมาว่า

    “เอ็งมาแล้วรึ”

    แกลุกขึ้นยืน หยิบเอาปืนลูกซองมาถือมั่น แล้วบิดกายกลับหลังเดินไปทางป่าซึ่งเป็นที่มาของเสียง พอพ้นรัศมีกองไฟ ซึ่งถัดไปเป็นป่าทึบ แกก็หยุดยืนสาดสายตาไปตามราวป่า มองหาผู้มาเยือนยามวิกาลนั้น

    เงียบ…นิ่ง…แต่ไม่สงบ

    ภายในใจของแกเริ่มหวั่นไหว ตามปรกติที่เคยปราบภูตผีปีศาจมา พอมันเข้ามาใกล้เช่นนี้แกจะรู้สึกตัว และหยั่งเชิงออกว่ามันจะมาท่าไหน แต่ผีปอบตนนี้ไม่ใช่ เพราะมันนิ่ง มันสงบกว่าผีธรรมดา มันก็รอดูท่า ดูเชิงแกอยู่เหมือนกัน ไม่ผลีผลามออกมาเหมือนผีเจ้าถิ่นตนอื่นๆ ใช่แล้ว นี่คือการประลองตบะของกันและกันนั่นเอง

    ดึกสงัดในหน้าหนาวเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ตามย่อมรู้สึกหนาว ชายคนนี้ก็เช่นกัน อากาศที่เย็นเฉียบกรีดกายจนรู้สึกหนาวสะบั้นเข้าไปถึงหัวใจ ทำให้นึกถึงกองไฟที่เดินจากมา แกจึงเริ่มเคลื่อนไหวก้าวถอยหลังช้าๆ เพื่อจะกลับไปตั้งมั่นรอรับมือที่ข้างกองไฟ

    ขณะก้าวถอยหลังไปนั้น มือของแกยังกำปืนมั่น พร้อมที่จะเหนี่ยวไกสาดกระสุนอาคมใส่ผีร้ายตนนั้นทุกเมื่อหากมันปรากฏกายออกมา สายตาแกสอดส่ายไปทั่วทิศ ถ้าหากมันมีมือติดไปด้วยคงจะแหวกสุมทุมพุ่มไม้เหล่านั้นออกดูแล้ว โสตประสาทก็ตื่นตัวเต็มที่ คอยเงี่ยหูฟังว่าจะมีเสียงผิดปรกติมาจากทิศใด หรือตรงไหน จวนจะถึงกองไฟอยู่แล้ว ทว่า…

    แกเสียหลักหกล้ม!

    นิ้วมือที่เขม็งเกร็งอยู่ในโกร่งปืน เผลอกดลงโดยไม่ตั้งใจ กระสุนนัดนั้นจึงพุ่งขึ้นฟ้าอย่างไร้เป้าหมาย และเปล่าประโยชน์

    เหมือนจะรู้ตัวว่านั่นคือความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ พอตั้งหลักได้แกรีบหันหลังกลับไปดูทันที แน่นอนล่ะ ผีร้ายตนนั้นไม่ทิ้งโอกาสนั้นเหมือนกัน มันปรากฏกายขึ้นไม่ไกลจากปลายเท้าแก แล้วตรงรี่เข้าใส่ดุจการมาถึงของเงาที่ติดตามร่างกายมานานแล้ว

    แกกระเสือกกระสนถอยหลังเอื้อมมือไปคว้าเอาลูกปืนมาได้พอดี หักลำกล้องปืนลง ป้อนลูกใส่รังเพลิง จังหวะนั้นผีปอบก็…

    …………………

    ไฟสว่างพรึบ!

    “โฮ้ยยยยยยย” เสียงถอนหายใจดังระงมขึ้นพร้อมกันด้วยความเสียดาย
    แล้วเสียงอันนุ่มนวลราวเทพบุตร ทว่าชวนแสลงหูในยามนี้ก็ดังขึ้นว่า

    “สวัสดีครับพ่อ แม่ พี่น้อง ชาวบ้านดอนประดู่ทุกคน หนังเรื่องบ้านผีปอบของเราก็กำลังเดินเรื่องมาอย่างเข้มข้น ก่อนที่ความระทึกจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ เกล้ากระผมมีผลิตดีๆ มานำเสนอพ่อแม่ พี่น้อง ให้ได้เอาไปกินไปใช้กัน

    นี่เลยครับพ่อแม่พี่น้องที่เคารพรักทุกท่าน ผมมีคำตอบมาให้พวกท่านแล้ว ถ้าหากปวดหลังปวดเอวจากการทำงานไร่ หรือลุยนา ลงสวนกันแล้วละก้อ นี่เลยครับ ยาชนิดนี้มีอานุภาพยิ่งกว่ายาเทวดา หรือว่ายาผีบอกใดๆ ทั้งสิ้น……….”

    “วุ้ย! เซ็งโว้ย มันจะมาขายหยูกขายยาอะไรกันตอนนี้วะ หนังกำลังสนุกตื่นเต้นทีเดียว” ชายหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวขึ้นอย่างหัวเสีย แล้วหันไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ กล่าวต่อว่า “เฮ้ย ไอ้สิดเม็ดมะขามคั่วเหลือไหม เอามาเคี้ยวมันๆ สักหน่อยสิ”

    “มีเพียบเลยละเพื่อน ข้าคั่วมาเป็นถุงเชียว” เสียงไอ้สิดสั่นๆ และหน้าซีดๆ พิกล

    “เอ็งเป็นบ้าอะไรขึ้นมาละเนี่ย หน้าขาวเป็นหยวกกล้วยเชียว” ไอ้แหลมถามอีกขณะเอื้อมมือไปกำเอาเม็ดมะขามคั่ว

    “ข้าก้อ… เอ่อ ข้า…”

    “อย่าบอกนะว่าเอ็งกลัวผี?”

    “ก็หนังมันน่ากลัวจริงๆ นี่หว่า ผีปอบอีหยิบนี่มันดุจริงๆ วิ่งไล่ล้วงไส้คนกินดิบๆ บรื๋อๆๆๆ แค่นึกถึงก็สยดสยอง หวาดเสียวแล้ว”

    “ไปๆๆๆ งั้น เอ็งไปกะข้า ไปซื้อตำบักหุ่ง(ส้มตำ)เผ็ดๆ กินกันสักครก เอาให้หูตาสว่างไสว ผีเผอหนีออกจากสมองกันไม่ทันเลยปะไร มา ตามข้ามา ข้าเลี้ยงเองโว้ยคืนนี้” ไอ้แหลมชวนไอ้สิดเดินเกร่ออกไปตามแผงขายของ ที่เรียงกันยาวเป็นพรืดติดกับศาลาวัด

    ตามแผงต่างๆ นั้น จะมีของกินของใช้ให้เลือกซื้อมากมาย ไล่ไปตั้งแต่สบู่ ยาสีฟัน แฟ้บ แชมพูสระผม มาม่า ปลากระป๋อง ยาแก้ปวดแก้ไข้ต่างๆ ก็มีขายแข่งกับเจ้าของหนังขายยา หรือหากอยากจะกินลูกชิ้นปิ้งหอมๆ สักไม้สองไม้ก็ไม่มีใครว่า ไอ้หนุ่มคนไหนอยากจะเอาใจอีนางหรือว่าพุสาวคนใด จะซื้อฮอทดอกทอดร้อนๆ ให้หล่อนกิน นั่นก็ไม่ผิดกติกาเกี้ยว หรือใครอยากจะอวดรวยเจียดค่ากับข้าวมาซื้อไส้กรอกปิ้ง กัดแนมกับพริกสดและขิงอ่อน ก็ตามแต่ความอยากที่กัดกร่อนหัวใจ ถ้าจะให้ดีควรหาอุบายปลีกตัวจากพวกเพื่อนๆ ก่อน ค่อยมาซื้อกินคนเดียว เพราะไม่งั้นจะถูกขอมีส่วนแห่งบุญนั้นด้วย

    สองสหาย-ไอ้แหลมเตี้ย ไอ้สิดโย่ง เดินเลาะดูสินค้าต่างๆ ตามแผงมาเรื่อย กระทั่งมาถึงแผงขายส้มตำของป้าเย็นจิตร ซึ่งมีสาวๆ หน้านวลจากการผัดแป้งจนหนาเตอะนั่งอยู่หลายนาง พวกหล่อนกำลังกินส้มตำกันอย่างแซบอีหลีอีหลอกะด้อกะเดี้ย(อร่อยมาก) ไอ้แหลมก็วางมาดเขื่องด้วยอำนาจเงินในประเป๋า สั่งขึ้นว่า

    “ป้าจิด! เอาตำบักหุ่งเผ็ดๆ ครกหนึ่ง ใส่ปลาร้าปลาเข็ง(ปลาหมอ)ตัวงามๆ มากินหน่อยสิ”

    หญิงวัยกลางคนชม้ายหางตาไปที่เขา กล่าวเหน็บแนมว่า “หน่อยเหอะเอ็ง ไอ้แหลม อีงานวัดคราวก่อน มึงติดค่าส้มตำไว้สองครกยังไม่จ่าย ยังจะมีหน้ามากินอีกเรอะ”

    “โธ่ๆๆๆ ป้า” เขาส่ายหน้าและยกไหล่ไว้เชิง แล้วกล่าวต่อว่า “ขึ้นชื่อว่าลูกผู้ชายตัวจริงอย่างข้า-ไอ้แหลม หนองปลาหลด แล้วละก้อ ไม่มีเสียล่ะที่จะเบี้ยว เอ๊า นี่ป้า 15 บาทไม่ขาดไม่เกิน ใช้หนี้ที่ค้างไว้ 10 บาท และอีก 5 บาทเป็นค่าส้มตำครกนี้ จ่ายก่อนเลย ตะวานนี้เพิ่งขายข้าวสองเกียน รวยเงินมา ไม่อยากจะคุยเลยจริงๆ พับผ่า!” เขาไม่ลืมที่เสยผมอันเรียบแปล้จากการโป๊ะเจล ขณะย่อกายลงนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ด้วยลีลาของพระเอกลิเก แล้วเหล่มองสาวๆ เหล่านั้นเป็นเชิงเกี้ยว

    “เออ ยังงี้ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย พ่อเศรษฐีใหม่”

    พูดเท่านี้ ป้าเย็นจิตรก็กำพริกชี้ฟ้าโยนใส่ครก แกะกระเทียม หยิบเกลือติดปลายมือใส่ตามไป โคลกพอแหลก ขยุ้มเส้นมะละกอที่สับฝานไว้แล้วใส่ครก หั่นมะเขือเทศ บีบมะนาว เหยาะน้ำปลา เดาะชูรส เปิดกระปุกปลาร้าจ้วงตักขึ้นมาตามออร์เด้อร์ กลิ่นของมันหอมหวนจนไอ้แหลมต้องเอี้ยวคอไปดู ยิ่งตอนที่แกตำฉั่วๆ ให้มันเข้าน้ำเข้าเนื้อกันนั้น ไอ้แหลมถึงกับน้ำลายสอเต็มกระพุ้งแก้ม

    “ได้ยังละป้า?” วัยรุ่นใจร้อน

    “เดี๋ยวชิมก่อน” ป้าเย็นจิตรหยิบส้มตำในครกชิม “แร่วกัน เหมาะเหม็งทีเดียวเอ็งเอ้ย-ไอ้แหลม ไม่ต้องเพิ่มอะไรแล้ว” แกตักส้มตำใส่จาน รินน้ำนัวร์ที่ก้นครกแถมด้วย หยิบยอดผักบุ้งและก้านทูนอีกสองท่อนวางแนมข้างจาน

    ส้มตำรสจัดครกนั้นเรียกน้ำมูกของสองหนุ่มออกฟืดฟาด กินไปพลางยกหลังมือปาดน้ำมูกเช็ดน้ำตา โลกทั้งโลกช่างโสภาน่าอยู่ยิ่งขึ้น เมื่อไอ้สิดเดินไปซื้อข้าวเหนียวและปิ้งกระดูกไก่สองไม้จากแผงไก่ย่างข้างๆ มากินแกล้ม

    “โธ๊ะๆๆๆ” สองหนุ่มกินไป ซืดน้ำมูกไปอย่างเอร็ดอร่อย จนไม่มีกะจิตกะใจเหลือบตามองผู้สาวซำน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ เลย

    กินส้มตำเสร็จ ก็เดินเกร่ไปซื้ออ้อยควั่นมาเคี้ยวดับเผ็ด แล้วเดินกลับมานั่งบนกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เดิม ล้วงเอาเม็ดมะขามคั่วออกมาเคี้ยวเพิ่มความมันให้ชีวิต ขณะรอดูหนังเรื่องบ้านผีปอบต่อไป

    เมื่อขายยาพอสมควรแล้ว ไฟก็ดับพรึบลง เครื่องฉายหนังก็ทำหน้าที่ส่งภาพออกสู่จอต่อไป หนังมาจบเอาก็เกือบเที่ยงคืน

    ชาวบ้านจึงแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน สองหนุ่มบ้านนาก็เดินปะปนกับชาวบ้านที่มีบ้านอยู่แถบเดียวกัน พอถึงบ้านใครก็ทยอยเดินแยกออกไปทีละคนสองคน กระทั่งเหลือเพียงทั้งสอง ที่มีบ้านอยู่ติดกันและอยู่อีกฟากหนึ่งของทุ่งนา ทั้งคู่จึงเดินไต่คันนาตัดทุ่งนาไป ที่ชายทุ่งอีกฟากจะมีป่ากล้วยผืนใหญ่ ทางเท้าเส้นนั้นจะผ่าเข้าดงกล้วย เดินทะลุดงกล้วยนั้นไปอีกฟากจึงจะถึงบ้านของทั้งสอง

    ขณะเดินไต่คันนามุ่งหน้าเข้าไปหาป่ากล้วยนั้น ท่ามกลางแสงเดือนที่สาดจ้าทั่วท้องทุ่ง ไอ้แหลมนึกครึ้มอกครึ้มใจ จึงเดินผิวปากขรุยแล้วโก่งคอร้องเพลงเพื่อชีวิตขึ้นว่า

    “เดือนเพ็ญแสงเย็นเห็นอร่าม
    นภาแจ่มนวลดูงาม
    เย็นชื่นหนอยามเมื่อลมพัดมา
    แสงจันทร์นวลชวนใจข้า
    คิดถึงถิ่นที่จากมา
    คิดถึงท้องนาบ้านเรือนที่เคยเนา…”

    ไอ้สิดที่เดินตามหลังมาติดๆ ขัดจังหวะขึ้นด้วยเสียงหวาดๆ ว่า “เฮ้ย! เฮ้ยไอ้แหลม เคยมีคนเขาเจอผีนางตานีในป่ากล้วยนี่ด้วยนะโว้ย คืนนี้ผีจะหลอกเราไหมวะ?”

    “บ๊ะ! ไอ้นี่ กลางค่ำกลางคืนพูดอะไรแบบนี้ ผีเผอมีที่ไหนกันในโลกนี้” เขาเริ่มนึกหวาดๆ ขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ทว่าทำปากแข็ง แล้วโก่งคอร้องเพลงล้อแสงเดือนต่อไปว่า

    “…กองไฟสุมควายตามคอก
    คงยังไม่มอดดับดอก
    จันทร์เอยช่วยบอกให้ลมช่วยเป่า
    สุมไฟให้แรงเข้า
    พัดไล่ความเยือกเย็นหนาว
    ให้พี่น้องเฮานอนหลับอุ่นสบาย…”

    “เฮ้ย ไอ้แหลม เขายังลือกันอีกนะโว้ยว่า ผีในป่ากล้วยนี้ บางทีมันจะปรากฏตัวเป็นหมาดำตัวใหญ่ หากมันหลอกเราจริงๆ พวกเราจะวิ่งหนีมันทันไหมวะ?”

    “ปัดโธ๊! ไอ้สิด ทำเอาข้าหมดอารมณ์ร้องเพลงกันพอดี เอ็งจะกลัวอะไรกันนักกันหนาวะ มากะข้าไม่ต้องกลัวโว้ย หมาดงหมาดำที่ไหน ลองออกมาดิ พ่อจะเตะให้ครางเอ๋งๆ ไปเลย”

    ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะก้าวเท้าเข้าป่ากล้วย พลันนั้นหมาดำตัวหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นตรงชายป่ากล้วย มันตรงรี่เข้าใส่ทั้งสองทันที!

    “เหวอออออ” ไอ้แหลมที่เดินนำหน้าร้องเสียงหลงเพราะมองเห็นหมาดำตัวนั้นก่อน เขาใส่เกียร์ห้าวิ่งเต็มสูบไปก่อนทันที

    ครั้นพอไอ้สิดรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ใช้ช่วงขาที่ยาวนั้นให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด แม้จะออกตัวทีหลังแต่ขย่มเท้าวิ่งไม่กี่ก้าวก็วิ่งนำหน้าไอ้แหลมได้อย่างรวดเร็ว

    “เฮ้ย! เฮ้ย! ไอ้สิด รอข้าด้วยโว้ย!” ไอ้แหลมวิ่งไปละล่ำละลักพูดไปด้วย เพราะกลัวถูกทิ้ง แต่ดูเหมือนว่าไอ้สิดจะหูอือฟังอะไรไม่รู้เรื่องซะแล้ว เพราะมันเอาแต่โกยอ้าวไปท่าเดียวโดยไม่เหลียวหลัง หมาดำใหญ่ตัวนั้นก็รวดเร็วสมกับเป็นภูตพราย มันวิ่งกวดไล่หลังไอ้แหลมมาติดๆ

    และแล้วนรกก็เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ไอ้แหลมเห็น เพราะเมื่อพ้นป่ากล้วยออกมา จะต้องผ่านสวนยาสูบแปลงหนึ่ง ซึ่งล้อมรั้วไม้ไผ่กันวัวควายเอาไว้ห่างๆ สำหรับไอ้สิดนั้นไม่ต้องเสียงเวลามุดรั้วแต่อย่างใด พอวิ่งมาถึงก็กระโดดข้ามแผลวไปอย่างง่ายดาย ไอ้แหลมเห็นดังนั้นจึงเอาอย่างบ้าง ทว่าตัวมันเตี้ยและช่วงขาสั้น จึงกระโดดไปติดราวรั้วชั้นบนสุด แล้วหล่นกองติดอยู่กับรั้ว

    ยมทูตเท่านั้นที่รู้ว่าเขาตกใจกลัวขนาดไหน ครั้นพอร่างกระแทกพื้น ไอ้แหลมพยายามตะเกียกตะกายมุดรั้วเข้าไปทันที ลำตัวมันพ้นมาแล้ว เหลือเพียงช่วงขาที่กำลังจะดึงเข้ารั้วมา แต่ช้าไปเสียแล้ว เพราะหมาดำใหญ่ตัวนั้นได้ฝังเขี้ยวเข้าที่ข้อเท้าซ้ายของมันแล้ว

    ไอ้แหลมเงื้อเท้าขาวถีบหัวหมาตัวนั้นสุดแรงเกิด อย่างไม่ยั้งและไม่นับ พอกระชากเท้าหลุดมาได้ มันก็ลุกขึ้นวิ่งไม่คิดชีวิต กระทั่งมาถึงบ้านหลังแรกซึ่งเป็นบ้านของไอ้สิด มันก็วิ่งขึ้นบันไดไปทันที

    ที่บนบ้านได้จุดตะเกียงอยู่ก่อนแล้ว เพราะตื่นตกใจตั้งแต่ตอนที่ไอ้สิดวิ่งกระหืดกระหอบมาก่อนหน้า ยังไม่ทันที่จะซักถามกันให้รู้ความ ไอ้แหลมก็วิ่งกระเจิงตามขึ้นมาอีกคน ข้อเท้าซ้ายของมันมีเลือดอาบเยิ้ม และเป็นแผลเหวะหวะจากการถูกผีหมาดำกัด

    ทั้งไอ้แหลมและไอ้สิดชิงกันเล่าให้คนในบ้านฟังแทบว่าจะลืมหายใจ ถึงเหตุการณ์อันระทึกขวัญที่พวกตนเพิ่งประสบมา ลุงเสาซึ่งเป็นพ่อของไอ้สิดฟังพลางรินน้ำมันก๊าดจากตะเกียงออกมาล้างแผลให้ไอ้แหลม แล้วฉีกเอาชายผ้าขาวม้าเก่ามาพันข้อเท้าให้มัน

    สายของวันถัดมา ลุงเสาต้องแบกไอ้แหลมมาส่งที่บ้าน ซึ่งมันและไอ้สิดมีสภาพไม่ต่างกัน ต่างจับไข้หนาวสั่นต้องนอนคลุมผ้าอยู่ตลอด ทว่าอาการของไอ้แหลมหนักมากกว่า เพราะตามเนื้อตัวมีรอยฟกช้ำดำเขียวเต็มไปหมด ทั้งแผลที่ข้อเท้าของมันนั้น ก็มีอาการเหมือนจะติดเชื้อ

    เย็นวันนั้น ญาติพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ได้มานั่งเฝ้าดูอาการของไอ้แหลมด้วยความเป็นห่วง หลายคนมีความเห็นว่า ควรจะแบกมันไปให้หลวงพ่อที่วัดรดน้ำมนต์ไล่กลิ่นไอภูตผี

    บ้างก็ว่าควรจะทำพิธีไปช้อนขวัญของมันที่ติดอยู่กับรั้วให้มาเข้าร่าง

    บางคนที่มานั่งก๊งเหล้าอยู่ข้างๆ แต่ขาดกับแกล้ม แนะนำให้ล้มหมู ล้มวัว ทำบุญให้ผีบ้าน ผีป่า เพื่อเป็นการต่ออายุให้มันซะถึงจะหาย

    ขณะกำลังปรึกษากันว่าจะเอาไงดี ลุงเสาก็เดินขึ้นบ้านมา แล้วพูดขึ้นเรียบๆ ว่า

    “เอามันไปอนามัยเทอะ”

    ทุกคนหันขวับไปพร้อมกัน แกจึงกล่าวต่อ

    “ไอ้หมาดำใหญ่ที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวดงกล้วยน่ะ เป็นหมาบ้า มันถูกชาวบ้านไล่ทุบตายแล้ว ข้าว่า รีบเอาไอ้แหลมไปฉีดยากันโรคหมาบ้าจะดีกว่า”.

  4. สวัสดีหลังอาหารกลางวันเจ้าค่ะสหายทุกท่าน .. 🙂

    .
    .

    เค้าว่ากันอย่างนั้นหรือคะท่าน Esc ฯ ..
    หวังว่า”แม่มะแขว่น”เค้าจะหยุดจามไว้ไม่ให้เกิน 2 ครั้งละกันค่ะ ..
    ข้าพเจ้าไม่อยากให้เค้า ไม่ฉะบายยยยย .. 5555+

    .
    .

    ฮ้า ฮ้า ..
    มะโข่งเองเหรอฮ้า ..
    ฮ้า ฮ้า ..
    แล้วยังไงก็ระวังจะจามไม่รู้ตัวด้วยอีกคนนะฮ้า ฮ้า ฮ้า ..

    .
    .

    ขอบคุณสำหรับลายแทงของจอมยุทธ์ซุนปินนะคะท่านสหายมาร ..
    เสร็จงานที่รุงรังแล้ว จะแจวเรือไปละเลียดเจ้าค่ะ ..
    อ่อ .. ขอบคุณสำหรับกาแฟร้อนด้วยนะคะ ..
    แต่คราวหน้าขอถี่ ๆ แต่ทีละถ้วยเด้อท่าน ..
    คนเรานี่ก็นะ เสิร์ฟได้ไง ไม่บันยะบันยัง .. งึมงำ ๆ ๆ ..

    .
    .

    พ่อมะกอกกลัวผีหรือคะ ?
    อมพระประธานมาพูด พี่มะแขว่นยังไม่ค่อยอยากเชื่อเล้ย 555+

    ขอขยับ “หมาดำ” ขึ้นแท่นก่อนนะคะ เดี้ยวประชุมเสร็จข้าพเจ้าจะเข้ามาอ่านใหม่ค่ะ ..

    .
    .

    สุขสันต์กันถ้วนหน้าเจ้าค่ะ .. 🙂
    ไปหากาแฟตอนบ่ายให้ตัวเองก่อนนะคะ ..
    ไปค่ะ .. แว๊บ ๆ แว๊บบบ .. บบ .. บ .. !!

  5. คารวะท่านสามจุด…ข้าฯได้รับเกียรติเป็นนักเขียนในดวงใจท่านเลยหรือนี่…ข้าฯเสริช กลูเกิลดูว่ามีใครที่ใช้ชื่อซุนปินมั่งก็เลยเข้ามาดูในเว็บนี้…ไม่เช่นนั้นข้าฯคงไม่รู้….แต่ก็เห็นมีหลายท่านใช้นามซุนปินแต่มิใช่ข้าฯ….ปัจจุบัน(นับตั้งแต่3-4ปีที่ผ่านมา)ข้าฯก็เขียนบันทึกไว้ก็เพียงที่บ้านจอมยุทธ์แหละท่านและถ้าจะมีความคิดเห็นก็ที่บล็อกท่านคิมเบอรี่โรสและท่านเมย์(Xanax) เท่านั้นแหละ….ช่วงหลังปีใหม่ก็มีเวลาว่างมากขึ้น….ก็คิดว่าจะเตรียมงานเขียนในเรื่องบางเรื่องให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที….คารวะท่านและสุขสันต์วันปีใหม่…

  6. สวัสดีค่ะอ้ายซุนปิน (กระบี่ดาวแดง)

    .

    ดีใจเหลือเกินค่ะ ที่บล๊อกนี้ได้ต้อนรับคำทักทายจากท่าน
    แล้วจะแจ้งข่าวนี้ไปยังท่านสามจุดให้นะคะ

    😀

Leave a comment