สุนทรียสนทนา

สวัสดีค่ะ

สืบเนื่องจากการอบรม “สุนทรียสนทนา” เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน พบว่าตัวเองมีความรู้สึกเหมือนถูกปลุก หัวใจ ให้ตื่นจากการหลับไหล เหมือนต้นหญ้ากลางทะเลทรายได้รับเม็ดฝน เหมือนคนหลงทางพบแผนที่และเข็มทิศยังไงยังงั้นเลยทีเดียว

( ภาพ – วัดราษฎร์บำรุง สถานที่จัดการอบรมครั้งนี้ค่ะ )

ทางโรงพยาบาลมีมติให้จัดการอบรม 100 เปอร์เซนต์ จึงแบ่งเจ้าหน้าที่เข้ารับการอบรมเป็น 2 รุ่น ตัวเองนั้นได้เข้าอบรมในรุ่นที่ 2 แต่ได้พบปะพูดคุยกับทีมกระบวนกร ( ทีมวิทยากรผู้จัดให้มีกระบวนการเรียนรู้ ) ตั้งแต่ครั้งที่มีการอบรมรุ่นแรกเนื่องจากได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ในทีมประสานงานการอบรมของรุ่นถัดไป

ทีมกระบวนกรนำโดย นายแพทย์วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ท่านเป็นศัลยแพทย์ที่สนใจสุขภาพองค์รวม และ เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม อาทิ หัวใจใหม่ชีวิตใหม่ , จับจิตดัวยใจ 1 และ 2 , บายพาสอารมณ์ , วิถีแห่งกอล์ฟ 1 และ 2 ( เล่ม 3 กำลังอยู่ระหว่างจัดพิมพ์ค่ะ ) , สวยด้วยใจ ฯลฯ ส่วนตัวเคยอ่านบทความของอาจารย์จากเวปไซต์ต่าง ๆ มาก่อนด้วยค่ะ การได้พบกับอาจารย์วิธานครั้งแรกจึงตื่นเต้นมาก ทั้งปลื้มใจสุด ๆ ที่อาจารย์จำและเรียกชื่อของฉันได้ถูกต้องหลังจากถูกแนะนำไปครั้งเดียว ( การจดจำชื่อคนได้เป็นเสน่ห์ที่ร้ายกาจของคนเราจริง ๆ  555+ ) 

ท่านที่ 2 คือ นายแพทย์วรวุฒิ  โฆวัชรกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นกระบวนกรผู้เล่าเรื่องราวอย่างได้อรรถรส น่าฟัง และ น่าคิดตามอย่างยิ่ง อีกทั้งเป็นทีมหลักในการดูแลเวปไซต์ http://newheartnewlife.net/wordpress/ ด้วยค่ะ

ท่านที่ 2 คือ อาจารย์พัฒนา  แสงเรียง ที่ฉันเรียกติดปากว่า พี่แอ๊ด ท่านที่ 3 คือ พี่หนึ่ง และ ท่านสุดท้ายคือ พี่แอน ทั้งคู่ไม่ยอมให้ข้อมูลส่วนตัวอื่นใดเพิ่มเติม สงสัยกลัวฉันเอาไปขายนั่นเอง ( ฮา )

หลังพิธีเปิดและแนะนำกระบวนกรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็นั่งล้อมกันเป็นวงบนพื้นพรม อาจารย์ให้นั่งนิ่ง ๆ หลับตาฟังเสียงเพลงที่เปิดบรรเลงเบา ๆ อยู่ครู่ใหญ่ แล้วมีเสียงระฆังกังวานใสดังขึ้น จากนั้นก็ให้พวกเราเปิดสมุดบันทึกแล้วเขียนสิ่งที่เห็น เสียงที่ได้ยินลงไป มีข้อแม้อยู่ว่า “ช่วงที่เขียน ไม่ว่าจะคิดไม่ได้ จะเขียนไม่ออก หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะไม่ยกปากกาขึ้นจากกระดาษ” ด้วยกิจกรรมที่ให้เปิดสมุดขีด ๆ เขียน ๆ นี่เอง ทำให้ตัวฉันได้หยุดฟังเสียงหัวใจตัวเอง ทั้งไม่ได้ฟังเปล่าแต่ยังได้บันทึกเสียงที่ผุดออกมาจากใจไว้อีกด้วย แรก ๆ ก็เขียนไม่คล่องนัก หลัง ๆ กลับรัวได้ทีละหลายบรรทัด เมื่อเสร็จสิ้นการอบรมก็พบว่าฉันเขียนอะไรต่อมิอะไรไปตั้งเกือบสี่สิบหน้ากระดาษเชียว ไม่น่าเชื่อเลยค่ะว่าจะทำได้

การอบรมครั้งนี้ท่านกระบวนกรให้เรานั่ง ๆ นอน ๆ ได้ตามสบาย แต่มีกติกาอยู่ 2 ข้อคือ

1. เมื่อได้ยินเสียงระฆัง ให้หยุดกิจกรรมทุกอย่างแล้วกลับมาอยู่กับตัวเอง
2. ให้ปิดโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือไม่ก็ให้เปิดในระบบสั่น ด้วยเหตุผลที่ว่า “มือถือ คืออุปกรณ์ที่ทำให้คนรอบข้างไม่มีตัวตน”

กระบวนการเรียนรู้ เริ่มด้วยการจับคู่นั่งคุยกับคนแปลกหน้า เล่าเรื่องราววัยเด็กให้อีกคนหนึ่งฟัง ฟังโดยไม่มีการถามขัดจังหวะการเล่าเรื่องโดยเด็ดขาด เมื่อระฆังดังขึ้นให้สิ้นสุดการเล่า จากนั้นแทนที่จะให้อีกคนหนึ่งเล่าเรื่องวัยเยาว์ของตัวเองบ้าง กระบวนกรกลับให้คนฟังเล่าในสิ่งที่ยินมาอีกครั้ง โดยเจ้าของเรื่องแปลงร่างเป็นผู้ฟังเรื่องของตัวเอง เอาละสิ ! ทีนี้ก็สนุกกันเสียไม่มี และนี่คือบทเรียนแรก “จงฟัง ฟังอย่างตั้งใจ และ ฟังต่อไปให้จบ” แล้วเราจะเป็นผู้ฟังที่มีคุณภาพ ทำให้เกิดการสนทนาที่พึงประสงค์

หัวใจหลักของการอบรมครั้งนี้ฉันว่าน่าจะเป็นเรื่อง “สี่ระดับของการสนทนา” ลองคลิกเข้าไปดูเนื้อหากันเองนะคะ

เรื่องราวดี ๆ จากการอบรมครั้งนี้มีเยอะมากค่ะ ทั้งจากการบอกเล่าของกระบวนกร จากการบอกเล่าของ “เพื่อน” ผู่ร่วมเข้ารับการอบรม และ จากการบอกเล่าของตัวเองในช่วงที่เปิดโอกาสให้ได้ฟังเสียงหัวใจตัวเอง ซึ่งคงไม่สามารถนำมาเล่าให้อ่านได้หมด ( ไม่ผ่านเซนเซอร์ด้วยค่ะ 555+ ) ถ้าหากสนใจก็เปิดเข้าไปอ่านในเวปไซต์ข้างต้นได้ค่ะ

ท้ายนี้ มีของฝากจาก สุนทรียสนทนา มาให้คือประโยคที่ว่า
“คนที่อยู่ตรงหน้า คือ คนที่สำคัญที่สุด” และ
การไม่ด่วนตัดสิน เป็นการเยียวยาซึ่งกัน”

 

( ภาพ – น้องหมาในวัด )

อย่าลืมเปิดหัวใจ ให้ความรู้สึกได้สนทนากันนะคะ
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ .. 😀

32 comments

  1. เป็นการอบรมที่ดีจังค่ะ

    มีน้อยคนนักที่ข้าพเจ้าสามารถพูดคุยได้แบบลึกซึ้ง
    และข้าพเจ้าก็ห่างหายจากการสนทนาแบบนั้นมาพักใหญ่แล้วล่ะ

    แต่ข้าพเจ้ากลับได้สนทนากับตัวเองได้บ่อยขึ้น
    บางครั้งก็ทะเลาะกับตัวเองซะอีก
    และส่วนใหญ่การสนทนากับตัวเองก็จบแบบไร้บทสรุปซะงั้น – -”

    เอาเป็นว่าคืนนี้ นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์นะคะ ^__^

    ปล.ตอนนี้เทนนิสยังไม่จบแต่ฝนตกเลยหยุดแข่งน่ะค่ะ

  2. ขอตามไปอ่านตามลิ้งค์ก่อน แล้วจะกลับมาเม้นต์ใหม่

    อืม จิตวิทยาตะวันตกแบบนี้ เดี๋ยวเป็นเจอพุทธศาสตร์สไตล์นายสอ

  3. อรุณสวัสดิ์ค่ะ

    .

    ข้าพเจ้าก็ห่างหายบทสนทนาที่ลึกซึ้งแบบนั้นไปนานแล้วเหมือนกันค่ะคุณ Z2you ทั้งกับผู้คนที่อยู่ประจันหน้า และคนที่คุยโดยไม่เห็นหน้าเห็นตากันอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ แบบนี้

    แต่ก็นั่นแหละค่ะ การพูดคุยเช่นนั้นมันลุ่มลึกก็จริงแต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือมันต้องใช้เวลาในการกลั่นกรอง หากท่านรอง ฯ นิยมชมชอบเช่นนั้นข้าพเจ้าก็จะจัดให้โดยพลันค่ะ ( แต่จะไม่ได้โผล่มาทักได้บ่อยครั้งละเน้อ เอาบ๋อ ๆ)

    การสนทนากับตัวเองนั้น มันไม่แปลกอะไรหรอกนะคะ
    เพราะ “คนบ้า” แถวนี้เค้าเป็นกันทั้งนั้นนั่นล่ะ หุ หุ

    .
    .

    อ่า .. เรียนท่านป๋าสอที่เคารพ

    มาอ่านเอาอะไรป่านนี้คะ ฮึ ?!?
    อ่านจบหรือไม่จบ ก็ไปพักไปนอนก่อนเถอะนะคะ
    เดี๋ยวก็ได้สว่างคาตากันพอดีหรอกค่ะ

    และคณะอาจารย์ท่านก็ได้นำหลักพุทธศาสตร์มาปรับใช้ด้วยค่ะ ที่ข้าพเจ้าได้ยินเหล่าท่านกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้งก็คือบทความของท่านติช นัท ฮันห์ นั่นเอง

    .
    .

    ตอนนี้ขอตัวไปโฟกัสกับงานก่อนนะคะ
    สุขสันต์วันจันทร์ค่ะ

    -จขบ.- 😀

  4. สวัสดีสายๆ วันจันทร์ค่ะ
    เรียนท่านประธานที่เคารพ
    เนื่องด้วยข้าพเจ้าเป็นคนที่โลกส่วนตัวค่อนข้างสูง
    แต่ใช่ว่าจะไปคุยกับใครเลยนะคะ ก็เฮฮาไปตามสถานการณ์
    และอารมณ์ เพียงแต่มิได้พูดคุยกันจริงจังนัก
    พอความเห็นเริ่มไม่ตรงกัน ข้าพเจ้าก็จะเลี่ยงที่จะพูดต่อ
    และจะรับฟังโดยไม่โต้แย้ง หากรู้สึกได้ว่าเค้าไม่ต้องการ

    ทุกวันนี้ข้าพเจ้าสนทนากับผู้คนในโลกสมมุตินี้
    มากกว่าผู้คนรอบตัวเสียอีก และหลายๆ เรื่อง
    หลายเหตุการณ์ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะบอกเล่า
    ผ่านหน้าจอ มากกว่าบอกกับผู้คนที่มีตัวตนอยู่รอบตัว
    (จริงจังกว่าด้วยค่ะ หุหุ )

    รู้สึกงานจะเข้าแล้วล่ะค่ะ ไปก่อนนะคะ
    แว๊ปปป

  5. สวัสดีตอนบ่ายค่ะ

    .

    บุคลิคที่คุณ Z เล่ามานั้น ใกล้เคียงกับอุปนิสัยใจคอของข้าพเจ้าหลายข้อเลยค่ะ เป็นลักษณะของคนธาตุน้ำ ที่มีสัญลักษณ์คือ “หนู” หนึ่งในสี่กลุ่มลักษณะนิสัยใจคอของคนที่ กระบวนกรในการอบรม (บ่มนิสัย) ครั้งนี้ได้แบ่งไว้

    “หนู” เด่นตรงที่ไม่ชอบความขัดแย้ง ชอบดูแลความรู้สึกของผู้อื่นจนลืมนึกถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง เป็นผู้ประนีประนอม และประสานงานได้ดี

    ตรงข้ามกับ “กระทิง” คนกลุ่มนี้คือธาตุไฟจะพร้อม ประสานงา กับผู้อื่นได้ทุกเมื่อ มุ่งความสำเร็จของงาน ชอบลุย (( อาจารย์เค้าบอกว่า ถ้า “หนู” กับ “กระทิง” เจอกันเมื่อไรมักเป็นแควนกัน ต่างคนต่างขาดในอีกบุคลิคที่อีกฝ่ายมี จึงช่วยกันเติมเต็มได้พอดีซะงั้น หุ หุ ))

    ส่วนธาตุดิน สัญลักษณ์คือ “หมี” เป็นคนรอบคอบ ชอบลงละเอียด อยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์ ทุกอย่างเป๊ะ ๆ ๆ จึงทำให้งานออกมาช้าแต่ชัวร์

    และสุดท้ายคือธาตุลม สัญลักษณ์คือ “อินทรีย์” เป็นคนที่มองการณ์ไกล รอบด้าน แต่ไม่ลงรายละเอียด คิดเร็วทำเร็วจนคนอื่นตามไม่ทัน โดยเฉพาะคนกลุ่ม “หมี” ทำให้คนสองกลุ่มนี้งัดข้อกันอยู่เนือง ๆ

    อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีเหลือเกินค่ะที่ได้รับรู้ รับฟังเรื่องราวต่าง ๆ ของคุณ ต้องขอบคุณมากเลยนะคะที่วางใจเล่าสู่กันฟัง

    ว่าจะคุยนิดเดียว แต่เล่าได้เป็นเรื่องเป็นราวเลยแฮะวันนี้
    ขอให้สนุกกับงานนะคะ โชคดีค่ะ

    -จขบ.- 😀

  6. อันที่จริง ข้าพเจ้าอาจจะเป็นคนสองบุคลิคก็ได้ค่ะ
    เพราะกับบางคนข้าพเจ้าก็ชอบเอาชนะซะเหลือเกิน
    และพร้อมที่จะยกร้อยพันเหตุผลเพื่อเข้าข้างตัวเอง 555+
    (ประมาณพูดเล่น แต่คิดจริง หุหุ)

    ข้าพเจ้าก็ต้องขอบคุณท่านเช่นกันนะคะ ที่กรุณารับฟังเรื่องบ้าๆ
    ไร้สาระ แถมยังสละพื้นที่ให้ได้ระบายอารมณ์ในบางเวลา

    และขอบคุณสำหรับความรู้และเรื่องราวต่างๆ ที่นำมาฝากกันเสมอ

    หากข้าพเ้จ้ากระทำผิดพลาดประการใด ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยค่ะ
    เพราะบางครั้งข้าพเจ้าก็พิมพ์ตามอารมณ์ของตัวเองมากเกินไป – -“

  7. ข้าพเจ้าลืมทักว่า อบรมในวัดแบบนี้ จิตใจคงสงบดี ^__^

  8. ไม่มีสิ่งใดผิดพลาดหรอกค่ะคุณ Z อย่าได้เป็นกังวลใจไปนะคะ
    ทุกเรื่องราวที่เราคุยกันที่นี่ ล้วนเป็น “เรื่องบ้า” ที่ดีทั้งนั้นนั่นล่ะ
    และ “วัด” ทำให้อาการของข้าพเจ้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจริง ๆ ค่ะ

    หุ
    หุ

    -จขบ.-

  9. กลับมาแล้วค่ะ
    หายไปทำธุระที่แม่สอดมาหลายวัน
    เหนื่อย…อยากนอนนนนนนนนนน

  10. เฮ้ยยยยย เจ้าของบ้านไม่อยู่ งั้นเรามาปูเสื่อนั่งฟังเรื่องตลกคอยไปพลางๆ เถิด

    เรื่องมีอยู่ว่า…

    .
    .

    หลังจากเข้าห้องตรวจโรคเสร็จ กระทาชายนายสิน เดินหน้าละห้อยถือใบสั่งยาตรงมาหาเภสัชกรสาวที่เค้าเตอร์

    เธอทักเขาว่า “เป็นไงจ๊ะ ทำหน้าบู๋ยังกะปลาบู่ชนเขื่อนมาเชียวนะ”

    นายสินยังคงโศก

    เภสัชฯสาวกล่าวต่อว่า “นี่ เค้ามีเรื่องตลกมาเล่าให้ตะเองฟังนะ” เธอนึกถึงเรื่องตลกนั้นขึ้นมาได้ หลังจากเอื้อมมือไปหยิบถุงมือยางมาสวม เพื่อความสะอาดในการหยิบจับและจ่ายยา จึงคิดจะเล่านิทานตลกเรื่องนี้คลายความโศกเศร้าให้คนไข้หนุ่มรายนี้

    “ที่ประเทศอินเดียนะเธอ เขามีวิธีทำเจ้าถุงมือยางที่แปล๊กแปลกมากเลยล่ะ” เธอเน้นเสียงเรียกความสนใจจากเขา

    นายสินยังคงโศก

    “เธอรู้ไหมจ๊ะว่าเขาทำกันยังไง?” เธอถามเพื่อดึงอารมณ์ร่วมใส่เรื่องเล่า

    นายสินยังคงโศก

    “คืองี้นะจ๊ะ คืองี้ เขาจะจ้างคนอินเดียเป็นร้อยๆ คนเลยล่ะ มาเข้าแถวเป็นวงกลม แล้วเดินหมุนไปยังอ่างที่ผสมน้ำยางทำถุงมือเอาไว้ จากนั้น ให้คนที่เดินไปถึงนั้นเอามือจุ่มลงไปจนถึงข้อมือ แล้วเดินวนออกไป เมื่อน้ำยางที่เกาะมือนั้นแห้ง แกะออกมาก็จะเป็นถุงมือแล้วล่ะจ่ะ…

    …คิกคิกคิก” หล่อนขำกลิ้งอยู่คนเดียวต่อไอเดียอันบรรเจิดเลิศภพจบแดนของเธอ

    กระทาชายนายสินยังคงโศก

    แต่แล้ว

    “ฮ่าๆๆๆ 55555555 หุหุหุ หกหกหก” เขาขำใหญ่โตมโหฬารบานตะเกียงเรียงทะโร่โท่

    เภสัชฯสาวจึงถามว่า “ขำไรนักหนาหือ?”

    “โอยๆๆๆ โอยคุณเภสัชฯเอ๋ย” กุมท้องหัวเราะร่วนพลางอธิบาย “คือ…คือผมกำลังคิดถึงวิธีผลิตถุงยางอนามัยของคนอินเดียน่ะครับ 555555 วุ้ยขำ ขำอุจาระแตก อุจาระแตน”

    .
    .

    ปล. ดัดแปลงจากเรื่องตลกท้ายคอลัมน์เช็กสต๊อกหนังสือ โดย หนุงหนิง มติชนสุดฯ

  11. 5555555+
    ขำตรงวิธีผลิตถุงยางอนามัยนั่นล่ะค่ะ หุหุ

    ขอบคุณที่นำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ คุณสวรรค์เสก ^__^

  12. แฮ่ม! เมื่อวานอ่านตลกไปแล้ว งั้นวันนี้มาอ่านธรรมะหน่อยก็แล้วกันนะท่านรองฯ

    คือผมเข้าไปโม้กับเพื่อนหนอนในบ้านวินทร์มาน่ะครับ จึงหอบเอาเศษน้ำลายนั้นมาฝากท่านรองฯด้วย

    อ่านเถิ๊ด!

  13. ต่อสุบินนิมิตซึ่งกลายมาเป็นคำถามทั้ง 16 ประการ ที่พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ไปกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น (แม้ท่าน monฯ จะยกมาเพียงข้อ 2 ข้อเดียว) ผมเข้าไปอ่านด้วยท่านตั้งแต่กระทู้ก่อนแล้ว แต่เว้นเอาไว้ไม่ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย มาเห็นท่าน monฯ จับโยนขึ้นมาเป็นกระทู้ใหม่อีกแล้ว ซ้ำนำข้อมูลมาเป็นแบ็คอัฟมากมายเห็นปานนี้ เห็นทีผมคงต้องชักกระบี่โถมเข้าแทงสักแผลสองแผลบ้างแล้วล่ะ

    ไม่ใช่คำตอบของผมเองหรอกนะครับ แต่เป็นแนวคำอธิบายของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) ท่านเคยตอบคำถามนี้แด่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาและคณะ(นานมาแล้ว ไม่ใช่รัฐมนตรีคนปัจจุบัน) คราเมื่อเดินทางไปสากัจฉาธรรม ปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาการศึกษาและเรื่องศีลธรรมของคนยุคใหม่

    เมื่อสนทนาถามตอบปัญหาธรรมะมาถึงเรื่องระบบศีลธรรมในสังคมยุคปัจจุบัน ตัวแทนฝีปากกล้าของคณะร.ม.ต.ก็ยิงคำถามในทำนองที่ว่า

    “สุบินนิมิตทั้ง 16 ประการที่พระพุทธองค์ทรงตอบพระเจ้าปเสนทิโกศลนั้น เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?” (ขออภัยนะครับ ผมเขียนมั่วจากความจำ อาจจะผิดเพี้ยนในด้านถ้อยคำ แต่ด้านอรรถะสาระแท้เป็นไปในแนวนี้น่ะครับ)

    หลวงพ่อประยุทธ์ท่านตอบในทำนองที่ว่า

    ปัญหาเหล่านั้นเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความเสื่อมโทรมลงของระบบศีลธรรมในสังคมทุกสังคมที่เริ่มจะเสื่อมสลาย หมายความว่า จะเป็นยุคนี้หรือยุคไหนก็ตาม เรื่องเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ถ้าหากจิตใจของผู้คนห่างเหินแล้วเสื่อมถอยจากศีลธรรม

    กระเบื้องน้อยก็จะลอยฟู – คือคนชั่วจะปรากฏให้เห็นดาษดื่นในสังคม

    น้ำเต้าจะจมน้ำ – คนดีที่ทำดี แต่ความดีนั้นจะไม่ปรากฏ

    ผู้คนจะเอาลามาเทียมเกวียนแทนวัว – ประชาชนจะเลือกคนไม่ดีมาเป็นตัวแทน

    สระใหญ่แต่น้ำกลางสระขุ่นริมสระใส – เมืองใหญ่ๆ ทั้งหลายจะวุ่นวาย จิตใจของผู้คนขุ่นข้นแล้งเร้นซึ่งน้ำใจ แต่ชายแดน ชายขอบ ถิ่นห่างไกลความเจริญผู้คนจะอยู่อย่างสงบสุข

    มีตุ่มใหญ่ตั้งอยู่กลาง ตุ่มเล็กๆ เรียงรายล้อมรอบ แต่ผู้คนกลับตักน้ำไปเติมแต่ตุ่มใหญ่นั้นจนล้นแล้วล้นอีก ไม่มีใครนำน้ำไปเติมตุ่มเล็กๆ เหล่านั้นเลย – ระบบเศรษฐกิจจะรวมศูนย์อยู่เมืองใหญ่ ผู้คนมั่งคั่งด้วยเงินทอง เมืองเล็กๆ ชนบทต่างๆ จะถูกละเลยทอดทิ้ง

    แม่โคจะกินนมลูก – พ่อแม่ผู้ปกครองจะอ้อนโอ๋ลูกหลาน ตามใจ สนองความต้องการตามแต่จะเสนอ เพราะเป็นสังคมวัตถุนิยม พ่อแม่กลัวจะถูกลูกทิ้งยามแก่เฒ่าจึงเอาอกเอาใจเข้าไว้ แต่สุดท้ายก็จะถูกทอดทิ้ง และถูกทิ้งต่อๆ ไปเป็นรุ่นๆ

    ต้นไม่ต่างๆ แค่แทงหน่อพ้นดินก็จะออกดอกออกผล – ผู้คนจะด่วนเสพสังวาสตั้งแต่เด็ก สังคมจะเสื่อมโทรมลงกระทั่งว่าไม่เลือกว่าไหนพ่อไหนลูก สำส่อ_นกันได้หมดเหมือนสัตว์ การตั้งท้องตั้งครรภ์จะเร็วเกินวัยที่ควรจะเป็น

    ฯลฯ (เอาแค่นี้แต่พอเป็นสังเขปก็แล้วกันนะครับ)

    เหตุแห่งความเสื่อมทั้งหลายทั้งมวลเหล่านี้ พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงชี้ว่าจะเกิดเมื่อปีนั้นปีนี้ แต่ทรงพยากรณ์เอาไว้ในฐานะ “สังคมแห่งความเสื่อม” ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเมื่อยุคใดสมัยใดก็ได้

    หากมองย้อนดูในประวัติศาสตร์โลก ไม่ว่าในอารยธรรมใดก็ตาม ก่อนการล่มสลายลง จะปรากฏเหตุการณ์ตามพุทธทำนายทุกประการ เสียงของคนชั่วจะดัง เสียงของคนดีจะด้อย กระทั่งค่อยๆ หดหายไปทีละน้อย

    เหตุที่ทำให้เสียงของคนชั่วดังขึ้นได้นั้น ก็เหมือนในพุทธทำนายนั่นแหละ คือคนที่ถูกเลือกให้ไปเป็นผู้นำนั้นเป็นผลผลิตของสังคมนั้นๆ ด้วย ผู้คนทั้งหลายต้องการคนที่จะสนองความต้องการของตนเองได้ พวกเขาจะเลือกคนที่ให้ผลประโยชน์ต่อตนไปเป็นตัวแทน

    ทั้งหมดทั้งสิ้นก้อ…”ไผ่ลำเดียวไม่เรียกกอ ปอต้นเดียวไม่เรียกป่า”…คนที่หลุดหลั๊วออกจากกระบอกไม้ไผ่คนเดียวย่อมไม่ใช่ชุมชน

    คนเราเป็นสัตว์สังคมน่ะครับ อยู่ไม่ได้ด้วยตนเองหรอก เพราะปลูกข้าวกินเองก็ไม่เป็น ทอผ้าห่มเองก็ไม่ได้ เจ็บไข้ก็ต้องวิ่งหามดหาหมอ ต้องอาศัยผู้อื่นอยู่ด้วยประการต่างๆ

    มองปัญหาในสเกลกว้างๆ เข้าไว้ ช่วยเหลือกันได้ก็แบ่งปันกันไปเถอะครับ

    ส่วนใครจะเล่นเสียวกับใคร ใครจะเอาเด็กไว้เอาเด็กออก หากเราไปเดือดร้อนกับเขามากเกินไป แทนที่จะเป็น “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” แต่จะกลายเป็นว่า “กรรมแท้ๆ ที่ไปแส่เรื่องของสัตว์โลก” แทนนะครับ

    พอเถอะเน๊าะครับ

  14. สวัสดีค่ะคุณสวรรค์เสก
    ขอบคุณสำหรับน้ำลาย เอ้ย ธรรมะที่นำมาฝากค่ะ
    พรุ่งนี้ก็วันพระใหญ่ อีกวันก็เข้าพรรษาพอดี

    เราเคยอ่านเรื่องพุทธทำนายมาบ้าง แต่จำไม่ได้ทั้งหมด
    แต่ทุกวันนี้สังคมก็เริ่มเสื่อมลงตามนั้นจริงๆ
    ไม่ต้องดูอื่นไกล ในสังคมที่เราอยู่ทุกวันนี้
    หรือแม้แต่คนใกล้ตัวเราเองก็ยังเป็นเลยค่ะ – -”

    บางครั้งเราช่วยอะไรไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรมจริงๆ

    ขอให้มีความสุขรับวันสำคัญทางพุทธศาสนานะคะ
    รักษาสุขภาพด้วยค่ะ

  15. สวัสดีตอนบ่ายวันพระค่ะคนบ้าทุกท่าน

    .

    จขบ. กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพแล้วนะเจ้าคะ
    หลังจากใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ อยู่หน้าช่องซื้อตั๋วโดยสารที่หมอชิตใหม่
    เพราะลืมไปว่าเป็นวันหยุดยาวที่ใครเขาต่างก็กลับบ้านกันทั้งนั้น
    เกือบตกรถให้ได้ร้องเจี๊ยบ ๆ อยู่ที่ กทม. ซะแล้วเรา หุ หุ

    .
    .

    ไปกราบหลวงพ่อจรัญ และ ปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ครานี้ ข้าพเจ้ารู้สึกดี อิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ ระหว่างเดินจงกรม และ นั่งวิปัสนานั้น ข้าพเจ้าได้อุทิศให้กับมารดา บิดา ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ เทวดา มาร เจ้ากรรมนายเวร บริวาร สรรพสัตว์ทั้งหลาย และ ที่ขาดไม่ได้ก็คือเหล่าคนบ้าที่กล้าหาญมาพูดคุย มาทำความรู้จักกับข้าพเจ้าที่เวปนี้ด้วยค่ะ

    (( เย็นกาย สบายใจกันไหมคะ ?))

    .
    .

    แต่ก็นั่นแหละค่ะ แม้จะสุขและสงบดี แต่ก็ยังมีข้อสงสัยติดอยู่ในใจประสาคนชั่วโมงบินทางธรรมต่ำ หลังจากพักให้หายอิ๊ดหายอ่อนแล้ว ยังติดค้างในใจอยู่ จะขอร่อนตัวอักษรมาถามความกับพี่หนานสอเพิ่มเติมนะคะ ตอนนี้ขอไปนอนห่มผ้าพันคอ เอ้ย ! ผ้านวมอุ่น ๆ สักตื่นก่อนละกันค่ะ

    นอนเสื่อมานาน คิดถึงฟูกจังเล้ยยย 5555+

    -จขบ.- 😀

    ป.ล. ประธานมีหนังสือมาฝากด้วยล่ะ รบกวนคนบ้าทั้งหลายแปะที่อยู่ให้ด้วยนะคะ ไม่สะดวกเปิดเผยก็ส่งเมล์มาก็ได้ค่ะ แล้วจะส่งไปให้ถึงกระไดบ้านเลยจ้า แล้วเราจะได้ “บ้า” กันคงทนต่อไปตราบนานเท่านาน

  16. เวลคัมแบ็คโฮล์มขอรับท่านเจ้าของบ้าน

    มีปัญหาอะไรที่สงสัยก็ถามได้นะครับ

    อืม เมื่อกี้เพิ่งไปโม้ในบ้านหนอนมาอีกแล้วครับทั่น ก๊อปมาฝากด้วย เชิญอ่านๆๆ

  17. วันพระ?

    วันพระกะผีน่ะดิ!

    แต่ก่อนแต่ไรพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ยเรียกวันนี้ว่า “วันอุโบสถ” ผู้คนสมัยนี้มันใจด่วนใจร้อนกัน เรียกอะไรยาวๆ เชยๆ แบบนั้นไม่ได้ พาลเรียกเพี้ยนไปว่า “วันพระ” กันเสียนี่

    “ทำไมถึงเรียกว่า “วันอุโบสถ” แล้วทำไมถึงเพี้ยนมาเป็น “วันพระ” คะพี่สอ?”

    “ไหน? ใครถามน่ะเมื่อกี้? มานี่เลยมา มาให้พี่สอหอมแก้มก่อนซะดีๆ ไม่งั้นไม่ตอบให้นา – เช๊อะ! พูดไม่รู้ฟัง!”

    ในพระวินัยของพระสงฆ์นั้น พุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้ว่า ให้หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ทุก 15 วัน หรือว่าทุกข้างขึ้นและข้างแรม 15 ค่ำ (หากเดือนขาดก็จะเป็นวันขึ้นหรือแรม 14 ค่ำแทน) และถ้าหากสถานที่หรือว่าวัดนั้นๆ มีพระสงฆ์ตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป ต้อง “ทำอุโบสถสังฆกรรม” คือสวดทบทวนศีลปาฏิโมกข์ทั้ง 227 ข้อ ที่ต้องถือปฏิบัติด้วย

    อาการที่พระต้องทำอุโบสถสังฆกรรมกันทุกวันขึ้นหรือแรม 15 ค่ำนี่แหละ ชาวพุทธแต่เก่าก่อนจึงเรียกวันนี้ว่า “วันอุโบสถ” ดังเราจะเห็นว่า ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไปถือศีล 8 ในวันดังกล่าว มักจะเรียกว่า ไปรักษา “อุโบสถศีล” ที่วัดกัน

    ไหนๆ การทำอุโบสถสังฆกรรมก็เป็นเรื่องเฉพาะพระสงฆ์เท่านั้น ก็เลยเรียกวันนี้ว่า “วันพระ” ไปซะเลยหมดเรื่อง สั้นๆ ง่ายดี

    “เหรอคะพี่สอ พี่ไปเอาข้อมูลความรู้นี้มาจากไหนหรือคะ?” (เสียงสะท้อนจากห้องใจของสาวๆ ในบ้านหนอน)

    “ใคร? หือ – ใครมาถามลองภูมิกันแบบนี้หือ?” (ตาขวางตวาดถาม)

    “ก้อ หนูแค่อยากรู้น่ะค่ะ” (ยังหาตัวต้นเสียงไม่ได้ ถ้าหากเจอล่ะก้อ – ฮึ่ม!)

    “เอ่อ…คือ…พี่สอ…ก้อ มั่วๆ มาน่ะจ่ะ คิดเอาเองแล้วก็มั่วๆ ไป ตามการวิเคราะห์ของคนสมองป่วย”

    “สาธุ สมพรปากนะคะพี่” (ดู๊ ดู ดูเธอทำ)

    “นอกจากวันนี้จะเป็นวันพระ วันอุโบสถ แล้ว ยังเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนาด้วยนะหล่อน? พวกเธอรู้ไหม?”

    “วันอะไรคะผี เอ๊ย พี่สอขา”

    “แน่ะ! ดูทำเป็นพูดเผลอสิ น่ารักจัง…คือว่า วันนี้เป็น “วันอาสาฬหบูชา” ด้วยน่ะจ่ะ”

    “สำคัญยังไงหรือจ๊ะ?”

    “เป็นวันที่พระรัตนตรัยเกิดขึ้นในโลกจ้า”

    “มีอะไรบ้างล่ะพี่ อธิบายให้ฟังหน่อยซี เดี๋ยวน้องจะให้รางวัล” (อิ อิ อิ ให้อมยิ้มหนึ่งแท่งนะจ๊ะ (พวกหล่อนคิดกันยังงั้น)

    “จิงอ่ะ? ห้ามขี้ห๊กเบเบ๋ ขี้จุ๊ตาละล้านะจ๊ะคนดี คืองี้ๆๆ

    1. พุทธะ – พุทธองค์ทรงตรัสรู้มาตั้งแต่วันวิสาขบูชาเมื่อสองเดือนที่ผ่านมาโน่นแล้วล่ะตะเอง

    2. ธรรมะ – กงจักรคือ “ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร” ได้เคลื่อนเลื่อนจากโอฏฐ์องค์ศาสดา หมุนขยี้บดความมืดบอดที่ย่ำยีจิตใจของส่ำสัตว์ทั้งสามภูมิ ที่ล่องลอยเคว้งคว้างในสังสารวัฏฏ์สุดขอบอนัตตจักรวาลอันกว้างใหญ่ไร้ที่สุดนี้

    3. สังฆะ – “อัญญาสิ วตโภ โกฑัญโญ – โกฑัญญะได้รู้แล้วหนอผู้เจริญ” ทรงเปล่งพุทธอุทานขึ้น หลังจากแสดงธรรมจักรกัปปวัตตนสูตรจบลง ยืนยันถึงการหยั่งลงสู่กระแสอริยธรรมขั้นแรกชั้นโสดาบันบุคคลของพระอัญญาโกฑัญญะ ประจักษ์พยานปากเอก ผู้สามารถยืนยันถึงความรู้จริงเห็นแจ้ง ที่พระองค์ได้ตรัสรู้ว่ามีจริง เพราะตนเองได้เริ่มเห็น “ความจริง” นั้นบ้างแล้วเหมือนกัน

    ภูเขาหินแท่งทึบเยี่ยงคิชกูฏ บวกอิสิคิริ ผนวกมองค์บลังก์ มีเม้าท์รัสมอร์เป็นพันธมิตร รอบบี้ยีสต์หิมาลัยมาเป็นพวกด้วยก็แล้ว ยังสู้ดวงแก้วโคตรเพชรที่ประดับยอดมงกุฏของควีนส์อลิซซาเบทไม่ได้ฉันใด

    ก็แลฉันนั้น แม้ท่านวัปปะ มหานามะ ภัททิยะ แล อัสสชิ สี่ในห้าปัจจวัคคีย์ที่นั่งฟังธรรมเทศนากัณฑ์ฟ้าดินถล่มทะลายอยู่ด้วยกันนั้น จะซาบซึ้ง จะไพเราะเพราะพริ้งเพลิดเพลินในธรรม แต่ก็ยังงงๆ ไม่แจ้งใจ

    ทว่า พระอัญญาโกทัญญะ รูปเดียว เพียงรูปเดียวเท่านั้น ก็ล้นเหลือเฟือฟายแล้วที่จะยืนยันถึงการอุบัติขึ้นแห่งดวงแก้วทั้งสามคือพระรัตนตรัย ที่จะประดับใจกลางสังสารวัฏฏ์อย่างเต็มภาคภูมิ

    จตุมหาราชิกาเทวดาทั้งหลายในภูมินี้ อดเปรมปรีย์ไม่ได้ อนุโมทนาสาธุการสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นไป

    มไหศวรรย์ชั้นดาวดึงส์ ก็ถึงคราวได้รับรู้บ้างว่า จอมศาสดาและอีกสองดวงรัตนา ได้สถาพรขึ้นแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี

    จอมภูมีแลปวงเทวาบนยามาชั้นเทพ พลอยเสพโสมนัสจนเปี่ยมล้น ประณตกรน้อมจิตบูชาไปยังทิศที่สถิตอยู่ของพระประทีปแก้ว

    ดุสิตเทวา
    นิมมานรดี
    ท้าวปรนิมมิตวสวัตตี จอมเทพผู้เคยควบขี่พญาช้างสามเศียร ยาตราทัพหมายบดขยี้พระองค์ให้แหลกคาควงโพธิบัลลังก์ ครั้งก่อนที่จะทรงตรัสรู้นั้น ก็พลอยชื่นชมในพระบารมีของพระองค์ด้วย

    สิ้นสุดเสียงของจอมเทพชั้นกาม

    ท้าวมหาพรหมทั้งหลายก็กระหึ่มพึมพำเพียงเบาๆ ราวกับเสียงขุนเขาสิเนรุราชคราขาดทะลายลง

    ลุงแก้ว
    ป้าคำ
    พณฯ ท่านผู้ทรงเกียรติในสภา
    ปลาร้าปลาเจ่าในถ้วยน้ำพริก

    ไอ้กล้วย กาบเกลี้ยง
    ไอ้จิตต์ จอมจก
    ไอ้สาม สากสวย
    ไอ้ไอซ์ อมอ้อย
    ได้เด็กดอย เดาดึก
    ไอ้เกลอกฤช กอดแก้ว
    แลมวลมิตรชุมชนแห่งบ้านหนอน…

    …นอนตีพุงสบาย…

    คล้ายๆ จะรู้เรื่องการอุบัติขึ้นแห่งดวงรัตนะทั้งสามนั้นอยู่เหมือนกัน

    แต่…

    เห็นจะมีแต่ลุงสอ เสือสอด นั่นกระมัง ที่…เท้อะ! ทุด! ไอ้ชาติคนอวดรู้ต่ำๆ!

  18. สวัสดีค่ะท่านป๋าสอ

    ขอบคุณมากนะคะที่เปิดโอกาสให้ไถ่ถาม
    แต่เรื่องมันเยอะมากเลยล่ะค่ะ
    ไม่ได้บันทึกเป็นข้อความสั้น ๆ ไว้อีกต่างหากอ่ะ (( แย่จัง ))

    .

    ในการนี้ ข้าพเจ้ามีความคิดดี ๆ ( หรือเปล่า ? ) ขึ้นมาว่า จะค่อย ๆ นึกเรื่องที่ได้พบเจอแล้วเขียนเป็น เรื่องเล่า : เมื่อมารดำเข้าวัด ให้อ่านละกัน แล้วทีนี้ก็ค่อยรบกวนท่านป๋าช่วยตอบปัญหาให้ด้วยนะคะ

    ตอนนี้ขอกวาดสายตาอ่านเรื่องที่ท่านเอามาแปะไว้ให้ก่อนค่ะ

    -จขบ.- 😀

  19. สวัสดีค่ะท่านประธาน
    ยินดีต้อนรับกลับบลอกค่ะ ^__^

    ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ คุณสวรรค์เสก ^^

  20. สวัสดีค่ะท่านประธาน
    ยินดีต้อนรับกลับบลอกค่ะ ^__^

    ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ คุณสวรรค์เสก ^^

    ปล.ข้าพเจ้าส่งคอมเมนท์เป็นครั้งที่สอง เพราะครั้งแรกไม่ขึ้นซะงั้น -*-

  21. สวัสดีค่ะท่านรอง ฯ

    ซำบายดีไหมคะ ?
    ส่งข้อความไม่ขึ้นนั้นคงเพราะเวปไซต์เค้านั่นล่ะ
    ข้าพเจ้าไม่ได้ทำอะไรเลยค่ะ จริง จริ๊งงง

    😀

  22. ข้าพเจ้าสบายดีค่ะ ท่านเองก็คงเช่นกันนะคะ

    จริงๆ อาจเป็นที่สัญญาณเน็ตของข้าพเจ้าก็ได้
    เพราะฝนตกน่ะค่ะ

  23. ข้าพเจ้าสบายดีค่ะ ท่านเองก็คงเช่นกันนะคะ

    จริงๆ อาจเป็นที่สัญญาณเน็ตของข้าพเจ้าก็ได้
    เพราะฝนตกน่ะค่ะ

    จะขึ้นไหมหนอ

  24. ข้าพเจ้าสบายดีค่ะ ท่านเองก็คงเช่นกันนะคะ

    จริงๆ อาจเป็นที่สัญญาณเน็ตของข้าพเจ้าก็ได้
    เพราะฝนตกน่ะค่ะ

    ข้าพเจ้าพยายามส่งคอมเมนท์หลายครั้ง
    แต่ไปไม่รอดเลยค่ะ นี่ก็ไม่รู้จะขึ้นหรือเปล่า -*-

  25. ข้าพเจ้าสบายดีค่ะท่าน ขอบคุณ (อีกครั้ง) นะคะ

    ที่นี่ก็ฝนตกเหมือนกัน อันที่จริงก็ตกมาทั้งวันแล้วล่ะ
    อากาศเย็นต่างจากตอนที่อยู่สิงห์บุรีลิบลับ
    ที่โน่นอาบน้ำแล้วเหงื่อยังหยดแหมะ แต่ที่นี่ต้องเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นซะงั้น

    ท่านรอง ฯ รักษาสุขภาพโตยเน้อ

    .

    ตอนนี้ดึกแล้ว ข้าพเจ้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ
    นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

    -จขบ.- 😀

  26. ที่นี่วันนี้อากาศร้อนมาก แต่ตอนเย็นฝนตก
    ข้าพเจ้าเลยเปียกนิดหน่อยเพราะลุยไปเวียนเทียนมา
    ชุ่มช่ำจริงๆ และช่วยลดอากาศที่ร้อนจัดไปได้มากเลยค่ะ

    ขอบคุณค่ะท่าน รักษาสุขภาพด้วยเช่นกันนะคะ

    นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^__^

  27. สวัสดีบ่ายวันเข้าพรรษาค่ะท่านรอง ฯ Z2you

    .

    ทางนี้ฝนยังไม่หยุดตกเลยค่ะ
    นี่ยังหวั่นใจอยู่ว่าถ้าตกแบบได้น้ำได้เนื้อแบบนี้อีกสัก 4-5 วัน
    น้ำอาจท่วมใหญ่เหมือนที่เคยเกิดในปี 2549 เสียก็เป็นได้

    ข้าพเจ้าได้แต่หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น
    อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย .. เพี้ยง !!

    .
    .

    ว่าแต่ท่านรอง ฯ เถอะค่ะ ที่เมื่อคืนไปเวียนเทียนกลางสายฝนมานั้น ทำให้ท่านมีอาการฟุดฟิดหรือเปล่าอ่ะ ?

    สุขสันต์วันฝนฉ่ำนะคะ

    -จขบ.- 😀

  28. สุขสันต์วันเข้าพรรษาเช่นกันนะขอรับท่านประธาน

  29. สวัสดีค่ะท่านเลขา ฯ

    .

    ข้าพเจ้าทิ้งปุจฉาเอาไว้
    รบกวนท่านวิสัชนาให้ด้วยนะคะ .. 😀

  30. สวัสดีวันเข้าพรรษาค่ะ
    วันนี้ที่นี่ฝนก็ตกมาทั้งแต่เย็นจนถึงขณะนี้

    แต่คงตกน้อยกว่าที่นั่น ข้าพเจ้าเห็นเค้าพยากรณ์ว่าจะตกหนัก
    หวังว่าคงไม่ถึงกับทำให้น้ำท่วมใหญ่นะคะ

    ตอนนี้ข้าพเจ้าอาการปกติดีค่ะ ขอบคุณนะคะ
    สุขสันต์วันเข้าพรรษาค่ะ ^__^

  31. เวลานี้ฝนหยุดแล้วค่ะคุณ Z
    ให้เวลาแผ่นดินได้หายใจหายคอบ้างแบบนี้ ค่อยโล่งใจหน่อยนะคะ

Leave a comment