สายลมเจ้าเอย

สายลมพัดพา
ยอดหญ้าพริ้วไหว
สายลมผ่านไป
ยอดหญ้ายังพริ้ว .. ยังไหวเอน

สายลมพัดพา
ภูผานิ่งเฉย
สายลมผ่านเลย
ภูผายังนิ่ง .. ยังเฉยชา

 

32 comments

  1. ^__^

    ไฟดับชั่วครู่ ข้าพเจ้าลืมไปเลยว่าจะพิมพ์อะไร -*-

  2. นึกไม่ออกก็ไม่เป็นไรค่ะท่าน

    เพียงรอยยิ้มที่ส่งให้กัน
    มันบอกอะไรได้มากมายเกินพอ

    อี้เล๊าะ 555555+ ฮิ้ววว !!

    .

    – จขบ.- 😀

  3. 5555+

    ดีค่ะที่ท่านเข้าใจความหมายของรอยยิ้ม
    บางครั้งข้าพเจ้าก็รู้สึกอยากจะยิ้มจนพิมพ์ไม่ออก ^__^

  4. ขอบคุณนะคะท่านรอง ฯ Z
    เดี๋ยวข้าพเจ้าจะเข้าไปฟังก่อนนอนสักรอบค่ะ

    .

    ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ (อีกครั้ง) ค่ะ

    -จขบ.- 😀

  5. สายลมเกเร
    รังแกดอกหญ้าน้อย
    คราเมื่อสายลมคล้อย
    ดอกหญ้าน้อยฟันหลอ

    สายลมยังบ้า
    ท้าสู้ภูผาใหญ่
    เขย่ายังไง๊ ยังไง
    จนอ่อนอ๊ก อ่อนใจ
    ภูผาใหญ่ยังชา ยังเฉย

    -บทกวี ลมบ้า โดย (เพื่อน)เจ้าชายน้อย-

    .
    .

    “ลำแดดทะลุผ่านเมฆมืด
    กระซิบกระซาบกับไม้ใหญ่ต้นนั้น
    ฟ้าคำรามราวกับคำขู่
    หมู่เมฆเคลื่อนมาหน้าบึ้งตึง

    แสงสีทองลับล่อล้อใบไม้…ก่อนหดหาย

    ลมกระชากและฝนกระโชก
    คาดคั้นจะเอาความกับไม้ต้นหนึ่ง
    แต่เรื่องลับไม่เคยเปิดเผย

    อารมณ์หลังฝนเป็นเช่นไร
    แดดกับต้นไม้เท่านั้นที่รู้”

    -บทกวี เรื่องลับ โดย เดือนวาด พิมวนา-

    .
    .

    สุขสันต์วันหยุดสุดสัปดาห์กันน้าทุกโคนนนนนน

  6. สวัสดีวันอาทิตย์สดใสค่ะ

    วันนี้อากาศดี หลังฟ้าฝนได้ผ่านไป

    แต่คาดว่าบ่ายๆ น่าจะมีเรื่องราว
    เหมือนในบทกวี “เรื่องลับ” เกิดขึ้นอีกก็เป็นได้

    ขอบคุณสำหรับบทกวีที่นำมาฝากค่ะ คุณสวรรค์เสก
    มีความสุขกับวันหยุดเช่นกันค่ะ

    ไปทำงานก่อนนะ ชะแว๊ปปป

  7. สวัสดีย่ำค่ำเหยียบดึกค่ะท่านป๋าสอ และ ท่าน Z

    .

    วันนี้ข้าพเจ้าหมดแฮงต่อปากต่อคำอ่ะ
    ครั้นจะไม่แวะมาก็เหมือนขาดอะไรไปสักอย่างซะงั้นค่ะ
    5555555+

    -จขบ.- 😀

  8. สวัสดียามดึกค่ะ

    ไปใช้แรงงานมาเหรอคะท่าน หมดแรงเชียวนิ
    ว่าแต่เป็นโรคติดเน็ตเหมือนกันหรือคะ หุหุ

    ขอให้พรุ่งนี้เป็นเช้าที่สดใสสำหรับทุกคนนะคะ
    นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^__^

  9. คำหวาน
    ทำให้ฉันเบ่งบานดุจดอกกุหลาบแดง
    ที่คลี่กลีบ
    แทงเกษร
    รวยรินกลิ่นขจรกระทบฆานวิญญาณ
    แบ่งปันรูป
    กลิ่น
    และรสสู่ช่องชิวหา
    แห่งผู้แสวงหาความงามและความหวานในอารมณ์

    คำขบขัน
    ผลักดันให้ฉันเผยอยิ้ม
    ฉีกแก้มตูมอย่างมิกลัวจะช้ำ
    ซ้ำ…กระแทกท้องจนคัดแข็ง
    ซ้อน…ม่านน้ำออกมากลั้วดวงตา
    อานุภาพของคำขันทำให้ฉันฉงนฉงายราวกับจะกลายเป็นคนบ้า

    กว่าจะรู้ตัว
    ฉันเสพติดในถ้อยคำ

    .

    -บทกวี “เสพติด” โดย (เพื่อน)เจ้าชายน้อย-

    .
    .

    ฉันนั่งอยู่บนหลังคน
    ฉันกระตุ้นและเร่งเร้าให้เขาแบกฉันไปเรื่อยๆ

    ขณะเดียวกัน

    ฉันบอกกับตัวเองและคนทั้งหลายว่า
    ฉันเสียในที่เขาต้องมาแบกฉัน
    และฉันได้พยายามช่วยให้เขาต้องรับน้ำหนักน้อยที่สุด
    โดยฉันยอมทำทุกอย่าง

    เว้นแต่…

    ฉันจะไม่ลงจากหลังของเขาเท่านั้น”

    -เลียฟ ดอยสตอย-

  10. สวัสดียามสายวันจันทร์เจ้าค่ะ

    .

    แวะมาอ่าน
    แวะมาตอกบัตรก่อนนะคะ
    เพื่อเป็นการยืนยันว่า ข้าพเจ้ายังอยู่ที่นี่ ไม่ได้หายไปไหน
    โอกาสอำนวยเมื่อไร จะมาตีฝีปากด้วยใหม่ค่ะ

    .

    ขอให้สนุกกับงาน สำราญกับชีวิตนะคะ

    -จขบ.- 😀

  11. เอ๋?

    วันนี้คนบ้าไปไหนกันหมดน้า???

    ติ๊กต๊อกๆๆ

  12. สวัสดีคืนวันจันทร์ค่ะ

    เอ่อ..ไม่ได้มาตอกบัตรเช้าเพราะเข้างานสาย -*-
    เลยมาเข้ากะกลางคืนแทนแล้วกันนะคะ หุหุ

    วันนี้คนบ้าติดภารกิจเป็นคนดีของที่ทำงานค่ะ 555+
    บัดนี้หมดเวลางานแล้วเป็นอันว่าถอดรูปได้ซะที ^^”

    ว่าแต่เพื่อนเจ้าชายน้อยนี่แต่งกวีเก่งจังนะคะ ^__^

    สุขสันต์วันจันทร์อันวุ่นวายค่ะ

  13. สวัสดีตอนบ่ายวันอังคารค่ะ

    ชะแว๊ปปป ไปทำงานก่อนนะคะ ^__^

  14. สวัสดีจ้าทุกโคนนนนน

    เอ๋? วันนี้เจ้าของบ้านหายต๋อมแต๋มไปเป็นสาวน้อยตกน้ำที่ไหนแล้วเนี่ย? ไม่เห็นออกมายกย้ำยกท่าต้อนรับแขกเหรื่อเลยนิ

  15. อรุณสวัสดิ์วันพุธค่ะ
    ฝนตกหนักเช่นนี้ โปรดรักษาสุขภาพด้วยนะคะ

    สุขสันต์วันครึ้มๆ ค่ะ ^__^

  16. กรุงเทพไม่ตกน้าพี่แซด
    เพื่อนเจ้าชายน้อยเป็น(บ้า) ไปแล้วหรือ หือออ ^ ^

  17. ตอนนี้ที่นี่ฝนกำลังตกหนักเลยจ้าหนูบาล์ม ^__^

  18. สวัสดีค่ะ คุณเจี๊ยบ คุณป๋าสอ คุณZ นู๋ปาล์ม ทุกคนสบายดีกันไหมคะ แวะมาทักทายก่อนค่ะ เด๋วจะตามไปอ่านย้อนหลังอย่างเคย

    อ่านไปหน่อยนึง ก็แว่วว่าคุณ Z เป็นคุณสุกคุณใสหรอคะ โอ๋ ๆๆๆ ไม่เป็นไรนะคะ มีเพื่อนเป็นแล้ว ดิฉันก็เป็นเมื่อต้นปี กว่าจะหายก็ 10 กว่าวัน เล่นเอาน้ำหนักลดลงไปผิดหูผิดตา (แหมถ้าปกติน้ำหนักลงได้แบบนี้คงดีมิใช่น้อย) ตอนนี้ทิ้งลายเป็นแม่เสือดาวเลยค่ะ หวังว่าคุณ Z คงจะหายดีแล้วและคงกลับมาสวยเหมือนเคยนะคะ

  19. สวัสดีค่ะคุณ jin ข้าพเจ้าสบายดี แล้วหวังว่าคุณจะสบายดีเช่นกันนะคะ ^^

    เพิ่งเป็นคุณสุกคุณใสเหมือนกันเหรอคะ
    แสดงว่าเราเพิ่งผ่านวัยเด็กกันมาใช่ไหม หุหุ

    กว่าแผลจะหายก็สิบกว่าวันเหมือนกันค่ะ แต่พักไปห้าวันก็กลับมาทำงาน
    น้ำหนักที่หายไปข้าพเจ้าก็เอาคืนมาเป็นที่เรียบร้อย 555+

    แผลเป็นก็ยังมีอยู่ค่ะ ส่วนเรื่องให้กลับไปสวยเหมือนเคยคงเป็นไปไม่ได้
    เพราะมันไม่เคยมีอยู่เลยค่ะ 555+ (ไม่แย่กว่าเดิมก็ดีใจมากแล้ว – -“)

  20. สวัสดีค่า

    .

    เจ้าของบ้า (น) มาแล้วววว ..
    ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่หน้าจอ ฯ หลายเพลา
    ก็เลยไม่ได้ส่งอักขราสวย ๆ งาม ๆ มาทักทาย

    เดี๋ยวขอนั่งอ่านคำทักทายของทุกท่านก่อนเด้อค่ะ
    แล้วจะโม้จะว่าอะไร เอาไว้ทีหลังเนาะ

    .
    .

    -จขบ.- 😀

  21. สวัสดีค่ะท่านประธาน

    สบายดีใช่ไหมคะ ^__^

  22. สวัสดีค่ะท่านรอง ฯ

    ข้าพเจ้าสบายดี ไม่มีอาการเจ็บไข้
    แต่ก็ปวดเมื่อยเนื้อตัวอยู่บ้าง ตามประสาวัยรุ่น .. อิ อิ

    ท่านรอง ฯ ละคะ เป๋นจะไดพ่อง ?
    โอเคก่อ ?

  23. ดีจังที่ท่านสบายดี ^^

    อันตัวข้าพเจ้านี่ก็ยังสบายดีอยู่ค่ะ
    ชีวิตเรื่อยๆ แม้จะไม่ราบรื่น แต่ก็ยังดีอยู่ค่ะ หุหุ

  24. ช่วงนี้ชีวิตข้าพเจ้าค่อนข้างระหกระเหินค่ะ
    เดินทางไปธุระโน่นนี่เป็นกิจวัตร

    .

    ดีใจที่ได้ทราบว่าท่านรอง ฯ สบายดี
    ยังไงก็ดูแลตัวเองให้ “ดี” อย่างนี้ต่อไปโตยเน้อ

    และดีใจที่ท่านกลับมาตอบอย่างทันควัน
    ด้วยตอนนี้ กำลังมีฝนฟ้ากระหน่ำลงมาอย่างหนักเลยอ่ะ – -”
    ไม่แน่ใจว่าอินเตอร์เนตจะใช้การได้ขนาดไหน

    .
    .

    ข้าพเจ้าขอปิดคอมพ์ ฯ ลาไปก่อนนะคะ
    ฝันดี และ ราตรีสวัสดิ์ค่ะท่าน

    -จขบ.- 😀

  25. ข้าพเจ้าจะพยายามดูแลตัวเองให้ดีที่สุดค่ะ ^__^

    ท่านประธานก็เช่นกันนะคะ ข่าวว่าที่นั่นฝนตกหนัก
    จะเดินทางก็โปรดระมัดระวังด้วยค่ะ

    ที่นี่ฝนก็ตกทุกวัน ตอนนี้กำลังตกปรอยๆ
    และคาดว่าจะตกจนถึงเช้าเหมือนเมื่อวาน

    ขอให้พรุ่งนี้เป็นเช้าที่สดใสนะคะ
    นอนหลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^__^

  26. สวัสดีวันพฤหัสบดีจ้าทุกโคนนนน

    .

    อ้อ เจ้าของบ้านชีพจรลงเท้านี่เอง

    อย่างไรเสียก็ขอให้เดินทางไปไหนมาไหนด้วยความสวัสดิภาพนะขอรับ จะไปติดต่อหรือว่ากระทำการงานประการใดแล้วละก้อ ขอให้สะดวกดายง่ายไปโม้ดดดดดดทุกสิ่งอย่างเลย

    แฮ่ม! ที่ว่าเจ็บเนื้อเจ็บตัวน่ะ คงไม่ใช่ “แตกเนื้อสาว” หรอกกระมัง หากให้ผมเดาว่าคุณเจ็บเนื้อเจ็บตัวเพราะอะไรแล้วละก้อ ผมขอเดาว่า…เอ่อ ก่อนที่ผมจะเดา คือว่า…อยากให้คุณก้มมองดูเนื้อตัวของตนเองใหม่อีกครั้งให้ดีๆ นะขอรับ ถ้าหากผิวซีดๆ เหลืองๆ มีลักษณะคล้าย “ทอง” แล้วละก้อ…นั่นล่ะ ใช่เลย ตรงตามที่ผมคิดเอาไว้เปี๊ยบเลยล่ะ!!

    .
    .

    ยัยหมิว

    มะต้องเลยตะเองน่ะ มะต้องมาแอบว่าเค้าเลยนะ มะยอมด้วย เดี๊ยะๆๆ เดี๊ยะจะส่งเจ้าชายน้อยไปจัดการหล่อนแน่นอน ระวังตัวไว้ด้วย! ข๋อบ๊อกกกกก

    .
    .

    คุณแซด

    อืมม หายดีแล้วใช่ไหมครับ

    ผมบอกแล้วก็ไม่เชื่อ นี่ถ้าหากทำตามคำแนะนำของผมตั้งแต่ทีแรกแล้วละก้อ ป่านนี้ “ดี” ไปนานแล้ว – บอกไม่เชื่อ!

    .
    .

    คุณจิน

    เวลคัมแบ็กขอรับ
    เชิญอ่านตามลำบากเลยนะขอรับ

    แฮ่ม! ระวังนะขอรับ แม้คุณจะเคยเป็นคุณสุกคุณใสมาแล้ว ผมเชื่อว่าคุณจะมีภูมิคุ้มกันโรคดังกล่าวนั้นโดยไม่ติดไปจากคุณแซดอีกแน่นอน

    แต่ทว่า…เชื้อเพี้ยนๆ ของคนแถวนี้นี่ – ชงัดนัก! ฉุนยิ่งกว่าฉี่อูฐเสียอีก!!

  27. -หมายเหตุก่อนอ่านเรื่องสั้นนาร์กิส-

    .
    .

    เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 1 เดือน วาตภัยในประเทศพม่า เพื่อนๆ หนอนใน “winbookclub” ได้ร่วมด้วยช่วยกันเขียนเรื่องสั้นเพื่อรำลึกและไว้อาลัยต่อเหตุการณ์นั้น

    เกล้ากระผม ในฐานะหนอนน้อยตัวอ๊อนอ่อนอีกตัวหนึ่ง จึงกระดึ๊บๆๆ เข้าไปโม้กะเขามาด้วยเรื่องหนึ่งเหมียนกัลล์

    ตะทีแรกกะว่าจะใช้ชื่อเรื่องว่า “ซีอุ๊ย! คนกินศพ” เพราะพล็อตแรกที่คิดเอาไว้คือจะเขียนหยิกรัฐบาลทหารของประเทศพม่าให้จมเขี้ยวไปเลย แต่พอเขียนมาเขียนไป เขียนไปแล้วก็เขียนมา เขียนแล้วก็ลบ ลบแล้วก็เขียน ชื่อเรื่องจึงเพี้ยนไปจากเดิมที่เคยคิดเอาไว้ (เห็นไหม บอกแล้วไงว่าเรื่องมั่วนี่ขอให้บอกผมเถอะน่า!)

    “กรรมถีบ” น่าจะเป็นชื่อเรื่องที่เหมาะสมที่ซู้ดดดดดดด และผมก็ตกลงใจจะใช้ชื่อเรื่องว่ายังงี้แล้วล่ะ (แม้ไม่ได้เขียนบอกในบ้านหนอนของป๋าวินทร์ก็ตามที)

    หมายเหตุก่อนอ่านอีกประการ

    คือว่า…..

    ตัวละครในเรื่องสั้นนี้ ผมเก็บเอาชื่อและบุคลิกบางประการของเพื่อนๆ ในบ้านหนอนนั่นแหละมายำใหญ่ใส่พริกสดบีบมะนาว ซึ่งล้วนมีแต่ตัวละครเพศผู้กันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เพื่อความสมจริงของบทสนทนา ผมจึงเขียนโดยใช้คำพูดคำจาและกิริยาท่าทางในเรื่องให้เป็นไปแบบเป็นธรรมชาติมากที่สุด หากจะมีคำพูดที่ตรงๆ โผงๆ ผางๆ ไปบ้าง ขอให้ผู้อ่านแถวนี้ หลี่ตาอ่าน(อย่าหลับตาอ่านเลย ผมขอร้องล่ะ)ก็แล้วกันนะขอรับกระผม

    เอ๊า!

    อ่านเถิ๊ด!!

  28. กรรมถีบ………………โดย สิญจน์ สวรรค์เสก

    .
    .

    “แปลกจริงโว้ย! ผู้คนในโลกนี้ ทำไหม๋มันถึงได้ตอแหล ตอหลด เหมือนตดในน้ำกันแบบนี้!”

    ไอ้กล้วย กาบเกลี้ยง นักเขียนและกวีผู้มากล้นด้วยอุดมการณ์และเปี่ยมด้วยอารมณ์โรแมนติก ประเภทเดียวกันกับ ดอน กิโฆเต้ อัศวินในดวงใจของเขา กล่าวขึ้นท่ามกลางวงไฮโลว์ในดงกล้วยบ่ายวันนี้

    มวลมิตรลูกเต๋าอีก 4 นาม ที่นั่งเรียงรายล้อมวงกันอยู่นั้น ล้วนมีแต่หน้าเก่าๆ ที่คุ้นเคยกันแล้วเป็นอย่างดี ด้วยมีทัศนคติต่อเสียงลูกเต๋าที่ถูกเขย่าบนจานกระเบื้องเคลือบเหมือนกันว่า – “เสียงดิ้นดุ๊กดิ๊กของเธอช่างเร้าใจเป็นบ้าเลยนะจ๊ะที่รัก”

    “เอาเถิดวะไอ้กล้วยเอ้ยยย” ลุงสอ เสือสอด ชายชราผู้มากอาวุโสสุดในวง ผู้ทำหน้าที่คอนดักเตอร์ควบคุมลูกเต๋ากล่าวปลอบใจมัน “เอ็งจะโกรธจะแค้นใครที่ไหน ยังไง ก็พักเอาไว้ก่อนเถอะวะ แทงก่อนเท้อะ ข้าจะเปิดแล้วนา – บอกไม่เชื่อ” ว่าพลางเอื้อมมือไปกุมกะลามะพร้าวใบใหญ่ที่ถูกขัดจนมันเลี่ยมแสนคลาสสิค ซึ่งใช้เป็นเป็นฝาครอบลูกไฮโลว์

    ไอ้จิตต์ จอมจก ชายหนุ่มหัวฟูนักปรัชญาใหญ่แห่งบ้านนา ผู้พิสมัยข่าวสารในบ้านเมืองและความเป็นไปต่างๆ บนโลกใบนี้ แหงนหน้าขึ้นมองกรวยใบตองกล้วยอ่อน เหมือนกำลังขบคิดปรัชญาอันสะท้านสะเทือนปฐพีอยู่ก็ปานกัน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเปรียบกรวยใบกล้วยนั้นเป็นเหมือนวงการหมุนของพายุไซโคลนนาร์กิสอยู่ก็ได้ ทุกคนในวงไฮโลว์นี้ล้วนทราบดีว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาเปิดปากพูดอะไรออกมาแล้วละก้อ มันหากจะมีเนื้อหาสาระให้ค้นหา และน่าเก็บเอาขบคิดทุกครั้งไป

    หากแต่วันนี้เขายังนิ่งอยู่ เป็นไปได้ว่าปรัชญายอดกล้วยนั้นยังไม่ตกผลึกในความคิดดีพอ

    ไอ้สาม สากสวย วางแบ้งค์สิบลงเต็งห้า แล้วเอื้อมมือไปฉวยกล้องดิจิตอล Nikon D300 พร้อมเลนส์ตัวใหม่ที่เพิ่งสอยมาจากร้านขึ้นมาชมด้วยความพิศวาส เขายกกล้องขึ้นเล็งใส่ลุงสอ โฟกัสจนมั่นเหมาะแล้วสับชัตเตอร์ฉับลงทันที

    “แร่วๆๆๆ แร่วกัน เสียงชัตเตอร์นี่ฟังนุ่มฟังนวลไม่สร่างซาเลยจริงๆ นะนี่” คนกำลังรัก กำลังหลงเช่นมัน ได้เห็นได้ยินอะไรเกี่ยวกับกล้องสุดที่รักแล้ว ล้วนสวยงามและไพเราะเพราะพริ้งไปหมดทั้งสิ้น

    “ไหมล่ะ ไอ้สาม ไอ้นี่ หาคุกให้ข้าแล้วไหมล่ะ” ลุงสอพูดเสียงขุ่น

    “โธ่ ลุง ถ่ายรูปเล่นหน่อยเดียว ไหง๋ลุงถึงพูดไปถึงคุกถึงตะรางได้เล่า” พูดพลางเปิดเช็คภาพที่ถ่ายเมื่อครู่

    เจ้ามือวัยกลางคนผู้กลายเป็นนายแบบเมื่อครู่จึงว่า “เอ็งไม่ลองเอาหัวเหน่าตรองดูเล่า ผ่าตำรวจพรวดพราดมาตอนนี้ รูปข้าที่เอ็งถ่ายเมื่อกี้จะมิเป็นหลักฐานชิ้นเด็ดหรือ?” ตั้งคำถามให้เพื่อนรุ่นลูกได้คิด

    “ผมถ่ายแต่ใบหน้าน่ะลุง ไม่เห็นจานลูกเต๋าและแผ่นไฮโลว์หรอกน่า” ให้คำตอบพร้อมคำอธิบายเสร็จสรรพ

    “หากเอ็งได้ไปพม่าตอนนี้ก็คงจะดีไม่น้อยนะเพื่อน” ไอ้ไอซ์ อมอ้อย ศิลปินผู้อ่อนไหวต่อเฉดสีบนผืนผ้าใบ กล่าวกับเพื่อนผู้พิสมัยต่อการถ่ายภาพ “ฟังว่าตอนนี้ชาวบ้านชาวเมืองเดือดร้อนหนัก หากเอ็งได้ไปบันทึกภาพโศกนาฏกรรมในตอนนี้ คงจะได้ภาพสะเทือนอารมณ์มาไม่น้อยเลยเชียว” พูดพลางยกประคองไหสาโทใบย่อมขึ้นมา มีก้านมะละกอที่ตัดหัวตัดท้ายแทนหลอดดูดขนาดใหญ่และยาวเสียบคาปากไหอยู่ ไอ้ไอซ์ ก้มอมหลอดก้านมะละกอดูดสาโทไปสามสี่อึก “อ้า!…..” ละปากออกมาปล่อยลมด้วยความกำซาบในรสชาติ แล้วส่งไหเวียนรอบวงมาถึงคิวของลุงสออีกครั้ง

    ชายวัยกลางคนเอื้อมมือไปรับไหสาโทยกขึ้นดูดเอื้อกใหญ่ วางไหลงกลางวง แล้วว่า “เอาโว้ยเอา เปิดแล้วนาโว้ย” กล่าวจบก็ค่อยๆ แง้มกะลาขึ้นช้าๆ “อ่ะ ฮ้า! สี่-เอี่ยว-สอง = ต่ำโว้ย รอบนี้ออกต่ำ ใครแทงสูงถูกกิน แทงห้าก็กิน ซอรี่โว้ย รอบนี้พระเจ้าเข้าข้างเจ้ามือ” เก็บเงินบนแผ่นตารางไฮโลว์ แล้วนับเงินให้ไอ้จิตต์ จอมจก ที่เต็งเอี่ยว(เอี่ยว=หนึ่ง)ไปยี่สิบบาทด้วย

    เมื่อเก็บและจ่ายเงินรอบวงเสร็จ ลุงสอ เสือสอด ก็ใช้กะลามะพร้าวครอบลูกเต๋าอีกครั้ง ยกขึ้นบรรจงเขย่าเบาๆ อย่างนุ่มนวล ราวกับลูกเต๋าทั้งสามนั้นเป็นไข่นกบนจานกระเบื้องเคลือบก็ปานกัน วางจานกระเบื้องลงอย่างนิ่มนวล แล้วกล่าวว่า “เอาๆๆ แทงๆๆ แทงตาดีได้ แทงตาร้ายเสียโว้ย ดวงใครดวงมันไม่เกี่ยวกับฉันผู้เป็นเจ้ามือ” ว่าพลางยกไหสาโทขึ้นดูดก่อนจะส่งวนไปทางขวามือให้ ไอ้กล้วย กาบเกลี้ยง ดูดเป็นรายต่อไป

    แกยกหลังมือขึ้นปาดปากแล้วพูดเป็นเชิงรำพันให้เพื่อนร่วมวงฟังว่า “วานก่อนข้าดูรายการข่าว “เรื่องเล่าเช้าไหน?” ของคุณสนิมกฤช กับ คุณกีรติ เห็นภาพคนตายคนเจ็บในพม่าและเมืองจีนแล้วยังติดตาไม่หาย” พูดพลางถอนหายใจต่อภัยธรรมชาติทั้งสองเหตุการณ์นั้น

    “อะไรกันลุง มีที่ไหนกันรายการเรื่องเล่าเช้าไหน ผมเห็นมีแต่รายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ของคุณพี่สุรยุทธ์ กับ คุณน้องกิติกร” ไอ้สามแย้ง

    “เอ็งจะรู้อะไร ทีวีบ้านข้ามีจานดาวเทียมโว้ย รับได้ชัดได้แจ๋วกระทั่งช่องอังกิด-เมริกา” ลุงสอตอบ

    ครั้นพูดมาถึงเรื่องวาตภัยและธรณีพิบัติภัย ก่อนที่คนอื่นจะได้แสดงความเห็น น้ำเสียงกร้าวก็หลุดจากริมฝีปากของบุรุษหนุ่มผมฟูผู้นั่งเงียบขรึมอยู่นานแล้วว่า

    “ซีอุย! พวกมันหากินกับศพเหมือนซีอุย!” ไอ้จิตต์ จอมจก นักปรัชญาใหญ่แห่งบ้านนาเป็นคนพูดขึ้น “พวกมันโกหกชาวโลก! แหกตาได้แม้กระทั่งเลขาของสหประชาชาติ!”

    ก่อนที่อารมณ์เกรี้ยวของมันจะหือโหมขึ้นไปมากกว่านั้น ไอ้กล้วย กาบเกลี้ยง ก็ส่งไหสาโทไปให้ มันรับมาถือไว้ หากแต่ยังไม่ก้มดูด พูดสบถต่อไปว่า “ทุด! พวกมันบอกว่าจะเอาข้าวของที่มีคนบริจาคนั้นไปช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก แท้แล้ว พวกมันฉ้อเอาไว้ใช้เอง – ระยำกะหมา!” เค้นคำพูดออกมาจากใจดวงขมขื่น แล้วยกไหสาโทขึ้นดูดอั๊กๆ ราวกับจะดื่มเพื่อไว้อาลัยต่อซากศพน้อยใหญ่ที่นอนเกลื่อนแผ่นดินพม่าในห้วงนี้

    บรรยากาศในวงไฮโลว์ตกอยู่ในความเงียบ ก็บอกแล้วไงละว่า ถ้าหากเขาได้เปิดปากพูดขึ้นเมื่อใดแล้วละก้อ ทุกคนเป็นต้องหยุดคิดในคมปัญญาของเขาทุกครั้งไป

    พลัน!

    “เฮ้ย! ตำรวจ!!” ไอ้ไอซ์ อมอ้อย ศิลปินผู้อ่อนไหวร้องแหวกขึ้นในความเงียบ

    ทุกคนตั้งท่าเตรียมจะลุกขึ้นวิ่ง แต่แล้ว…

    “ไอ้นรกกิน! ไอ้ไอซ์!” ลุงสอ เสือสอด เน้นเสียงตำหนิ “ยังไม่ทันได้ดูอะไรดี ผ่าว่าเป็นตำรวจแล้วไหมล่ะเอ็ง เกือบได้วิ่งกันดงกล้วยราบแล้วไหม”

    เสียงผลุบผลับแหวกดงกล้วยมานั้น แท้จริงแล้วคือ ไอ้เด็กดอย เดาดึก เด็กแนวประจำหมู่บ้านดอนดู่แห่งนี้นั่นเอง มันรู้ว่าวันนี้มีวงไฮโลว์มานั่งโจ้กันในสวนกล้วยแห่งนี้ จึงดุ่มเดินด้นมาหา ด้วยหวังจะมาเล่นเสี่ยงดวงเหมือนกัน หูทั้งสองข้างของมันอุดอยู่ด้วยหูฟังของไอพ็อตนาโน ดูจากท่าทางการเดินโยกตัว ยักไหล่ ขย่มตีนของมัน ก็พอจะเดาได้ว่ามันกำลังฟังเพลงแนวไหนอยู่

    “โฮ้วว เย่ห์ ชัดอัป ชัดอัป…” เสียงครวญเพลงฮิปฮอปตรงมาที่วงไฮโลว์ โชว์สเต็ปเท้าให้เพื่อนรุ่นพี่และรุ่นพ่อดูเป็นฉากสุดท้ายก่อนหย่อนก้นเบียดแทรกนั่งลงระหว่างไอ้จิตต์ กับ ไอ้สาม

    เห็นท่วงท่าลีลาที่ยวนกวนบาทา และกางเกงที่แทบจะหลุดตูดของมัน ลุงสอ นึกรำคาญเหลือกำลังจึงพูดให้ศีลให้พรมันขึ้นว่า “บ๊ะ! ไอ้นี่ ไหม๋มันน่าถีบรับขวัญเสียจริง”

    “หา! ว่าไงนะลุง!” มันถามด้วยเสียงระดับเดียวกันกับเสียงเพลงที่ดังกรอกหูอยู่

    ไอ้สาม สากสวย ทนไม่ได้ จึงเอื้อมมือไปดึงหูฟังออกจากหูของมัน ทำให้มันได้ยินเสียงให้พรของลุงสออย่างชัดเจนว่า “ข้าบอกว่าสงสัยพ่อมึง!” เว้นจังหวะนิดหน่อยแล้วกล่าวต่อ “…คงจะถูกหวยรวยเบอร์มา ถึงได้มีเงินซื้อของเล่นแพงๆ แบบนี้ให้มึงฟัง” ชายกลางคนเน้นเสียงหนักๆ ตรงคำที่คิดอยากจะด่ามัน

    “ชิว ชิว น่ะลุง ไม่กี่หมื่นเอง” ยักไหล่ไม่แคร์ในเรื่องเงินทอง แหง๋ล่ะ เงินพ่อมันนี่นา ไม่ได้ใช้เงินของมันซื้อเองเสียหน่อย

    “ไหนพี่จิตต์ ให้น้องให้นุ่งดูดเนียนๆ หวานๆ สักด๊วบหน่อยดิ๊” เรื่องปากปะเหลาะกินแล้วละก้อ ทุกคนในบางนี้ล้วนทราบดี ว่าไอ้นี่ไม่เป็นสองรองใคร รับไหสาโทมาได้ก็ด่วนดูดอย่างดื่มด่ำ “อ้า!….หวานจริง จริ๊งงงงง กลิ่นรึก็หอมไม่มีอะไรเทียบ” มันรู้ธรรมเนียมปฏิบัติของวงไฮโลว์นี้ดี จึงส่งไหสาโทไปให้ไอ้สามต่อ ล้วงเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงได้ หยิบแบ้งค์ยี่สิบวางลงแทงบนแผ่นตารางไฮโลว์พลางว่า “ต่ำไปเลยลุง แทงต่ำประเดิมดวงดูดิ๊”

    ไอ้กล้วย กาบเกลี้ยง กวีโรแมนติก วางแบ้งค์สิบลงเต็งหก แล้วร่ายกลอนออกมาว่า

    “…หยุดประเดี๋ยวได้ไหมพายุร้าย
    หยุดส่งสายสุนีบาตมาข่มขู่
    กัมปนาทกราดเกรี้ยวอันเกรียวกรู
    เพื่อสักครู่เจ้าจะหลั่งซึ่งฝนริน

    เติมความรักสักหน่อยนะหัวใจ
    เติมความหวังให้ไกลอย่าให้สิ้น
    ผยัดอยู่เพื่อท้าเถื่อนธรนินทร์
    เพื่อแผ่นดินจะงดงามด้วยความรัก…

    เห็นความป่าเถื่อนของพายุไซโคลนนาร์กิสแล้ว ข้าล่ะนึกถึงกวีบทนี้ของคุณพี่เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ขึ้นมาเทียว” พูดพลางแหงนหน้าขึ้นบิ้วอารมณ์กวีแล้วกล่าวต่อ

    “โดยเฉพาะวรรคที่ว่า “กัมปนาทกราดเกรี้ยวอันเกรียวกรู” นั้น ข้าล่ะมองเห็นภาพความหฤโหดของพายุร้ายขึ้นมาเลยทีเดียว มันหมุน มันโหม มันโถม มันทะยาน…”

    น้ำเสียงของเขาเร่งเร้าดุจจะดันพลังกวีออกมาให้เป็นภาพมหาวาตภัยในครั้งนี้ “…มันบด มันขยี้ ฉีกชิ้นเนื้อของเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสา กรรโชกกระชากดวงวิญญาณของชาวบ้านผู้ยากไร้ ย่ำยีขืนใจของชายหนุ่มผู้เพิ่งจะเข้าเรือนหอทว่าต้องมายืนดูศพเปลือยเปล่าของเจ้าสาวในยามเช้าที่ถูกฆ่าด้วยความหื่นของมัน…” น้ำตาของกวีเถื่อนคลอหน่วยขณะสรรหาถ้อยคำอันสวยงามมาบรรยายภาพที่สุดแสนจะอเนจอนาถที่เขาได้ดูจากภาพข่าวในโทรทัศน์

    ขณะที่ทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้มกับอารมณ์กวีของไอ้กล้วยอยู่นั้น ไอ้ไอซ์ อมอ้อย กล่าวขึ้นเรียบๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า

    “ชารอน สโตน…”

    ได้ยินชื่อดาราสาวใหญ่ผู้เร่าร้อนในวงการฮอลีวูดส์ ที่โด่งดังด้วยท่าแหกขาอันเด่นดวงในหนังเรื่อง ‘เจ็บธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ภาค 1’ (Basic Instinct 1) ดังนี้แล้ว

    ทำให้ปากที่กำลังดูดสาโทของไอ้สาม สากสวย หยุดชะงักกึก

    สายตาที่แหงนมองยอดกล้วยเพื่อค้นหาปรัชญาของไอ้จิตต์ จอมจก เบนลงมาที่ต้นเสียงเมื่อครู่ เหมือนอยากจะรู้ว่าไอ้ไอซ์ จะพูดปรัชญาที่ลึกซึ้งอะไรเกี่ยวกับคุณหล่อนออกมาหรือเปล่า

    ไอ้เด็กดอย เดาดึก ตาเป็นประกายวาวด้วยแววบรรเจิดด้วยภาพในจินตนาการ

    ลุงสอ เสือสอด กระแอมเบาๆ อย่างชายผู้เจนโลก แล้วว่า “ไหน? เอ็งลองพูดมาดูดีๆถี เล่ามาให้เห็นภาพกันเลยเชียวว่า คุณน้องชารอนเธอจะพอมาเอี่ยว มาเกี่ยวอันใดกะพวกเราได้บ้าง?”

    ทุกคนในวงไฮโลว์ต่างเงี่ยหูรอฟังว่า ไอ้ไอซ์ อมอ้อย จะเล่าเรื่องดาราสาวใหญ่ต่อไปอย่างไร เขาเริ่มปฐมกถาด้วยการหันไปคุยกับ ลุงสอ เสือสอด ว่า

    “ลุงก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเธอมีอาชีพอะไรใช่ไหม”

    “จำไม่ลืมเทียวเอ็งเอ้ยยย ข้าล่ะยอมใจคุณน้องเธอจริงๆ กล้าเล่นกล้าเสียวได้ไม่มีใครเกิน” ผู้อาวุโสสุดในกลุ่มใช้คำพูดประโยคนี้ยืนยันถึงความเป็นดาราสาวเจ้าบทบาทของเธอ

    “ก็นั่นแหละลุง ซ้ำเธอยังกล้าพูดอีกด้วยนะ” ไอ้ไอซ์ รับคำแล้วว่า “ในงานเทศกาลหนังที่เมืองคานส์ที่ผ่านมาน่ะลุง คุณพี่ชารอนเธอบอกว่าเรื่องแผ่นดินไหวในจีนและเรื่องพายุถล่มประเทศพม่านั้น เป็นเรื่องเวรเรื่องกรรม ผมล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอจะเชื่อเรื่องพรรค์นี้กะเขาด้วย” เว้นวรรคครุ่นคิดเพื่อลำดับเหตุการณ์ถึงเรื่องราวที่ตนได้อ่านมา แล้วกล่าวต่อว่า

    “ในบทสัมภาษณ์นั้น เธอกล่าวอ้างด้วยนะว่า เป็นเพราะ ดาไล ลามะ เพื่อนร่วมโลกผู้มีจิตใจอันประเสริฐของเธอ ถูกรัฐบาลจีนรังแกมากมายหลายกระบุงเข่ง ภัยธรรมชาติจึงมาทวงคืนความยุติธรรมให้ชาวธิเบต ผมว่า เธอคงจะรวมถึงภัยธรรมชาติในพม่านั้นด้วยแหละลุง เธอกำลังจะบอกชาวโลกว่า ธรรมชาติได้มาลงโทษรัฐบาลทหารพม่าที่ทำทารุณกรรมต่างๆ ต่อพระและประชาชนที่ออกมาประท้วงเมื่อไม่นานก่อนหน้านั้นด้วยละมั้ง”

    “อืมม์ น้ำใจประเสริฐแท้แม่คุณเอ้ยยย ท่าก็สวย เอ๊ย รูปร่างหน้าตาก็สวยซ้ำใจก็งามอีก” ไอ้กล้วย กาบเกลี้ยง หลุดปากชม

    “อนิจัง ทุกขัง อนัตตา นับว่าเธอพูดเป็นปรัชญาธรรมะขั้นสูงของชีวิตเลยจริงๆ” ไอ้จิตต์ จอมจก พยักหน้าหงึกๆ ด้วยทึ่งในสุขุมความคิดของหล่อน

    “กรรมใดใครก่อกรรมนั้นตอบสนองจริงๆ พับผ่า!” ไอ้สาม สากสวย พูดพลางมองไปทางลุงสอ แล้วว่า “ใช่ไหมลุง ลุงเคยบวชเรียนมาตั้งสองพรรษานี่นา เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเวรกรรมเหมือนที่คุณพี่ชารอนเธอว่านั้นไหม?”

    “to be or not to be – เป็นก็ได้ไม่เป็นก็ได้โว้ย”

    เจอคำตอบปนปรัชญาจากวรรณกรรมเรื่องแฮมเล็ตของเช็คสเปียร์เข้าไป ไอ้จิตต์ จอมจก ตาเป็นประกายวาวราวกับคนที่กำลังจะเผลอบรรลุธรรม

    “อ้าวลุง ไหง๋ตอบกวนจุดยืนของชีวิตแบบนี้ล่ะ” ไอ้เด็กดอย เดาดึก ถามกวนๆ ประสาคนวัยทีน

    “ไอ้นี่! มาเล่นสำนวนแบบนี้กะข้า เดี๋ยวบาปจะกินปากเอ็งสักวัน” ลุงสอ ว่าแล้วก็กล่าวต่อ “ที่ข้าว่ามันอาจจะเป็นเรื่องกรรมก็ได้หรืออาจจะไม่เป็นก็ได้นั้น เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ว่า กฎแห่งเหตุปัจจัยในโลกนี้มันมีอยู่ 5 ข้อเชียวนะพวกเอ็งเอ๋ย ใช่มีแต่หลักกรรมอย่างเดียวซะเมื่อไหร่กัน”

    “มีไรบ้างอ่ะลุง เล่าให้ฟังหน่อยดิ” ไอ้เด็กดอยซัก

    “พวกเอ็งแทงกันก่อนปะไร เปิดกันก่อนสักรอบแล้วค่อยคุยกันต่อ” ผู้อาวุโสออกความเห็นในฐานะประธานวงและควบตำแหน่งเจ้ามือด้วย

    ได้ยินดังนั้น ลูกวงจึงล้วงเงินออกมาแทงกันคนละฉับสองฉับ บ้างโต้ดบ้างเต็งตามใจชอบ

    “เอานาโว้ย เปิดแล้วนา แทน! แท่น! แท้น!” และแล้วกะลาขัดเงาใบนั้นก็เปิดผางขึ้นมา แต้มของลูกเต๋าทั้งสามเม็ดคือ…

    “สาม-สาม-ห้า = สิบเอ็ดไฮโลว์โว้ยยยย” ลุงสอ ขานแต้มออกมาด้วยความดีใจ “ซอรี่ๆๆ ไม่สูงและไม่ต่ำ ทางสายกลางพอดี๊พอดี ใครแทงโต้ดแทงเต็งอะไรบ้างล่ะนี่ – ไหน ไล่เรียงกันดูที” กล่าวจบก็นับเงินจ่ายตามจำนวนเงินที่แทงถูก

    “บ๊ะ! วัยรุ่นเซ็งเป็ดเลย แทงทีแรกก็ซวยเสียแล้วเหรอเนี่ย – ลุงโกงป่ะ” ผีเจาะปากไอ้เด็กดอยให้พูดพล็อยๆ ออกไปแบบนั้น

    “หึๆ เอ็งอย่ามามั่วกะข้านาโว้ย-ไอ้ดอย เคยมีรึที่ข้าจะคิดโกงใคร มาว่าคนอยู่ในศีลกินในธรรมอย่างข้าโกงแบบนี้ละก้อ ไม่สวยเลยเอ็งเอ๋ย” พูดเสร็จลุงสอ ก็เอากะลาปิดลูกเต๋า เขย่าเบาๆ เสียงลูกเต๋ากระทบจานกระเบื้องดังกรุ๋งกริ๋งครู่หนึ่งแล้วเงียบไป “เอ้า แทงโว้ยแทง แทงดีได้ แทงร้ายเสีย แทงเมียมันส์ แทงผัวเจ็บ” พูดเล่นสำนวนสนุกสนานเชื้อเชิญเพื่อนรุ่นน้องและรุ่นลูก ให้แทงไฮโลว์

    “หลักเหตุผล 5 อย่างที่ลุงว่าค้างไว้นั่นล่ะลุง เล่าให้พวกผมฟังหน่อยสิ” ไอ้กล้วยทวง

    “อ้อ ได้ๆๆ” เว้นจังหวะเพื่อเค้นความจำแล้วกล่าว “หลักการข้อที่ 1 คือ หลักพีชนิยาม น่ะโว้ยพวกเอ็งๆ เอ๋ย ทรงบอกว่า หากปลูกพืชเช่นใดต้องได้ผลเช่นนั้นอย่างแน่นอน หลักการข้อนี้รวมถึงเรื่องดีเอ็นเอ พันธุกรรมศาสตร์ การโคลนนิ่งเอย สเต็มเซลส์เอย ล้วนรวมอยู่ในกฏข้อนี้ทั้งนั้น ว่าโดยสรุปคือหากพันธุกรรมของพ่อแม่เป็นมาแบบใดแล้วละก้อ ย่อมส่งผลสืบต่อไปยังลูกหลานนั่นแหละ”

    “อืม…หลักที่สองล่ะลุง” ไอ้กล้วยถามต่อ

    “อันที่ 2 นี่ก้อ…นี่เลย มันคืออออ” ลากเสียงยาวเพื่อหน่วงเวลาขบคิด “อ้อ มันคือ หลักอุตุนิยาม หรือว่าหลักการของดินฟ้าอากาศ แดด ลม ฝน ฟ้า ทั้งหลายทั้งปวงประดามีเหล่านี้ไงล่ะ เช่นว่า ถ้ามีต้นไม่เยอะอากาศจะดี หากต้นไม่มีโลกนี้มันจะร้อน หากอยากได้น้ำร้อนก็ให้ต้มน้ำ หากอยากได้น้ำเย็นก็ให้นำน้ำไปแช่ในตู้เย็น หรือเอาไปตั้งไว้ในที่ที่มีความชื้นสูงอะไรอย่างนั้น”

    “งั้นปัญหาโลกร้อนที่คนทั่วโลกกำลังตื่นตัวกันนี่ จัดเป็นหลักอุตุนิยามนี้ได้หรือเปล่าล่ะลิง เอ๊ย ลุง” ไอ้สาม สากสวย ถามลุงสอ เสือสอด ขึ้น

    “อ๋อ แน่นอนอยู่แล้วล่ะวะ ก็ในเมื่อเหตุปัจจัยของป่าและธรรมชาติแบบแต่ก่อนส่งผลให้โลกเย็นและมีอ๊อกซิเจนเยอะใช่ไหมล่ะ มาตอนนี้คนตัดป่าเยอะขึ้น ใช้วัสดุที่ทำร้าย-ทำลายธรรมชาติมากขึ้น พอเหตุปัจจัยเปลี่ยน ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบเป็นโลกนี้ก็เปลี่ยนตามไปด้วย แล้วเป็นไงล่ะคราวนี้ แผ่นดินไหวเอย ซึนามิเอย พายุใต้ฝุ่น-ไซโคลนเอย โคลนถล่มเอย อะไรเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากการที่คนเรารุมสร้างเหตุปัจจัยให้ธรรมชาติ จนทำให้มันต้องพลิกเปลี่ยนปรับตัวไปตามเหตุปัจจัยทั้งนั้นแหละ”

    “ถ้างั้น…พายุนาร์กิสที่พัดถล่มพม่าก็ไม่เกี่ยวกับเวรกรรมอ่ะดิลุง?” ไอ้ดอย เดาดึก ถามขึ้นบ้าง

    “to be or not to be ที่ข้ามั่วมานั่นไงล่ะ เพราะว่าหากฝนจะตก แดดจะออก พายุจะมา แผ่นดินจะไหว ใครไปสั่งมันได้ล่ะ มันหากจะเป็นของมันเอง แต่ไอ้ครั้นจะปฏิเสธว่าคนเราไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างเหตุปัจจัยให้ธรรมชาติด้วยเลยก็คงไม่ถูกนัก ใช่หรือเปล่า? – ไม่รู้ซีโว้ย ข้าก็ว่าไปตามเพรงของข้าแบบนี้แหละ ไม่รู้จะตรงหลักธรรมที่ท่านว่าไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้ซี”

    “อืม…ขอหลักที่สามต่อเลยลุง” ไอ้จิตต์ พูดขึ้นบ้างหลังจากนั่งฟังมานานแล้ว

    “หลักที่ 3 นี่ ท่านเรียกว่า หลักกรรมนิยาม” ลุงสอหยุดนิดหนึ่งก่อนอธิบายต่อ “นี่-เห็นไหม ชาวพุทธทุกวันนี้ชอบมั่ว เอะอะอะไรขึ้นมาก็โยนใส่กรรมเก่าๆๆๆ ไหง๋ถึงไม่ดูให้ครบแง่กันบ้างก็ไม่รู้ หลักกรรมนี้เป็นหลักพฤติกรรมและการให้ผลของการกระทำ ว่ากันเฉพาะเรื่องเป็นรายๆ ไป ไม่เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศแดดลมอะไรทั้งสิ้น เพราะนั่นเป็นกฎธรรมชาติอีกกฎหนึ่งที่แตกต่างออกไปไงล่ะ”

    “ลุงนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ นะเนี่ย โกนหัวโกนคิ้วห่มผ้าเหลืองหน่อยละก้อ ผมว่าลุงขึ้นธรรมาสน์เทศน์ได้สบายๆ เลย” ไอ้ไอซ์ อมอ้อย ชมลุงสอ เสือสอด

    “เฮ้ยๆๆ ไม่ต้องๆ ไม่ต้องมาชมข้าแบบนี้ เดี๋ยวขี้กลากกินกบาลกันทั้งคู่ – ไหน? เอาไหสาโทมานี่ถี ถองแก้คอแห้งสักจ๊วบหน่อยปะไร”

    ไอ้ไอซ์ประคองไหสาโทส่งให้ลุงสอ แกยกขึ้นดูดจนหนำใจ ครั้นพอวางไหลง ไอ้ไอซ์ก็ถามขึ้นทันทีว่า “แล้วหลักการข้อที่ 4 ล่ะลุง คือหลักของอะไรหรือ?”

    “ข้อที่ 4 นี่ ท่านเรียกว่าหลัก จิตนิยาม…ก้อ เช่นว่า หากเอ็งคิดยังงี้ ชอบแบบนี้ จิตใจของเอ็งก็จะโน้มเอียงไปทางนั้นใช่ไหมล่ะ…อืมมม…” แกนิ่งไปพักหนึ่งเพื่อครุ่นคิดหาข้ออุปมาแล้วว่าต่อ “อย่างเช่นไอ้กล้วยมันชอบอ่านชอบเขียนหนังสือของมันใช่ไหม จิตดวงนั้นนั่นแหละจะส่งผลให้จิตดวงอื่นๆ เกิดติดตามกันมา เช่นจิตที่คิดจะขวนขวายหาหนังสือมาอ่าน จิตที่คิดจะขวนขวายเขียนโน่น คิดนี่ จดนิด จำหน่อย ใดๆ เหล่านี้จะเกิดตามมาเป็นแพ็กเก็จกันเลยทีเดียวเชียว”

    ไอ้จิตต์ ตาเป็นประกายเหมือนจะเข้าใจอะไรที่ลึกซึ้งขึ้นมาอีกแล้ว จึงถามขึ้นว่า “สมมุติว่าผมคิดชอบผู้หญิงคนหนึ่งล่ะลุง?”

    “แหง๋แซะยิ่งกว่าแช่แป้ง เอ็งก็ต้องขวนขวายเทียวไปพูดไปคุย โทรไปหา แวะไปเยี่ยม เทียวไล้เทียวขื่อ เทียวจีบจนได้เป็นแฟนเข้าสักวันนั่นแหละวะ” ลุงสอตอบพร้อมอธิบายเสร็จสรรพ

    ไอ้จิตต์ถามต่อไปอีกว่า “งั้น…การที่คนเราคิดจะทำโน่นทำนี่ได้นั้น จิตที่คิดจะทำตั้งแต่ทีแรกนี่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุดใช่ไหมลุง?”

    “แน่นอนอยู่แล้ว จิตเป็นใหญ่ใจเป็นประธานโว้ย ไอ้เรื่องจิตนี่มันเป็นหลักอภิธรรมแน่ะเฮ้ย ข้าก็ไม่ค่อยจะรู้ลึกซึ้งนักหรอก สรุปว่าคนเรานี่เป็นไปตามที่เราคิดและลงมือทำก็แล้วกัน”

    “ข้อสุดท้ายล่ะลุง?” ไอ้สามถาม

    “หลักการข้อสุดท้ายนี่มันจะไปตรงกับคำอุทานของไอ้จิตต์เผ๋งพอดีเชียวล่ะ นั่นคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และแปรปรวนแตกดับไป-ไร้ซึ่งตัวตน หลักการนี้เรียกว่า ธรรมนิยาม หรือว่าหลักสามัญลักษณะของสิ่งทั้งมวล ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ โลก ดวงดาว จักรวาล เอกภพ ใดๆ เหล่านี้ ล้วนตกอยู่ในหลักการข้อนี้ทั้งสิ้น”

    “อืมม์ พระพุทธเจ้านี่สุดยอดจริงๆ เลยนะลุง” ไอ้ดอยชมจากใจจริง

    “อือ ข้าก็ว่างั้น…เรื่องพายุนาร์กิสที่พัดถล่มพม่านั้น หากเอาหลักเหตุผลเหล่านี้ไปเทียบเคียงแล้ว ก็จะไม่โทษว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติฝ่ายเดียว และไม่ยกให้เป็นเรื่องของกรรมเก่าตะพึดตะพือเหมือนที่คุณน้องชารอน สโตน เธอให้สัมภาษณ์นั่นด้วย เพราะมันยังมีเรื่องของหลักธรรม คือการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของสิ่งทั้งมวลเข้ามาเอี่ยวด้วยอีกแง่หนึ่งน่ะ”

    ผู้มากประสบการณ์เว้นวรรคดูดสาโทกลั้วคอ เห็นเพื่อนร่วมวงนั่งนิ่งครุ่นคิดกันอยู่เงียบๆ จึงพูดเปิดประเด็นประดับปัญญาต่อไปว่า

    “ยุคก่อนโน้นนน เมื่อไดโนเสาครองโลกโน่นน่ะ นักวิทยาศาสตร์เขาก็บอกตรงกับตำราพระไตรปิฎกเหมือนกันนะ ที่บอกว่าโลกยุคแรกๆ ไม่มีมนุษย์อยู่บนโลกนี้เลยนั่นน่ะ ต่อมา ธรรมชาติมันวิวัฒนาการขึ้นมาเองตามเหตุตามปัจจัยของมัน กระทั่งไดโนเสาสูญพันธุ์ไป มนุษย์เราก็วิวัฒนาการมาเรื่อยตามการปรุงแต่งสืบต่อ

    เอาเหอะน่า อีกไม่กี่หมื่นกี่แสนปีหรอกน่า เดี๋ยวก็ถึงคิวที่มนุษย์จะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้เหมือนกันกะที่เผ่าพันธุ์ของไดโนเสาได้สูญหายมาแล้วนั่นแหละ ต่อไปอาจจะเป็นยุคของหุ่นยนต์ครองโลก หรือว่าเผ่าพันธุ์สัตว์อะไรบางอย่างมาครองโลกแทนมนุษย์ก็ได้ ใครจะไปรู้ – ใช่ไหม?

    หรือไม่ก้อ…เชื้อจุลินทรีย์จากร่างกายของมนุษย์ อาจจะผสมปนเปไปกับก้อนอุกาบาตขณะโลกแตกระเบิด ซึ่งอาจจะเป็นด้วยเหตุใดนั้นข้าก็คร้านจะเดา

    บางทีข้าว่าคนเราอาจจะเดินทางไปกับยานอาวกาศขนาดโคตะระใหญ่ที่มีข้าวปลาอาหารพร้อมสรรพ สามารถเดินทางไปได้นานๆ หลายร้อยหลายพันปีเพื่อเสาะหาโลกใหม่อยู่อาศัยก็ได้นะโว้ยพวกเอ็ง ไอ้พวกคนที่เดินทางไปบนยานนั้นก็จะเล่นจ้ำจี้สืบพันธุ์กันไปเรื่อย กระทั่งไปเจอดาวเคราะห์ดวงใหม่เข้าสักวัน แล้วสร้างสรรค์มันขึ้นมาเป็นโลกใหม่ รอให้เผ่าพันธุ์อันโคตะระฉลาดของพวกเราร่วมมือกันทำลายมันต่อไป และต่อๆๆๆๆไปอีกก็เป็นได้นาเอ็ง

    นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายก็คุยโวเอาไว้แล้วนี่นาว่า ในเอกภพนี้มีดาราจักรอื่นๆ อีกมากมาย เอาแค่ดาราจักรทางช้างเผือกของเรานี้ ก็มีระบบสุริยจักรวาลเหมือนๆ ที่เรามีดวงอาทิตย์มีโลกนี้นับอีกแสนล้านระบบสุริยจักรวาลเลยเชียว

    ข้าดูทีวีเมื่อหลายวันก่อน เห็นข่าวแว่วๆ ว่ายานอาวกาศจากโลกของเราได้เดินทางไปลงบนดาวอังคารแล้วนาโว้ย – ไหมล่ะ! คนเรานี่มันโคตะระฉลาดจริงๆ พับผ่า!

    ว่าไปแล้วดาวอังคารนี้มันก็เปรียบเหมือนหัวกระไดบ้านของพวกเราเท่านั้น แค่นี้คนเราก็ตื่นเต้นกันใหญ่แล้ว ยังออกไปไม่พ้นระบบสุริยจักรวาลของตนเองเลยด้วยซ้ำ – ทุด! มนุษย์นี่ต่ำเตี้ยติดดินและมีเวลาใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้สั้นนิดเดียวเองนะโว้ย!

    ฉะนั้น หากพายุไซโคลนมันจะพัดถล่มพม่าบ้าง แผ่นดินมันจะไหวในจีนบ้าง พวกเอ็งก็อย่าไปซีเรียสเอาจริงเอาจังกะมันมากเลยวะ ช่วยเหลือเจือจานกันได้ก็ควรช่วย หากช่วยไม่ได้ก็ “ทัมใจ” อย่างเดียว หรือจะตบด้วย “บวดหาย” อีกสักซองแก้กลุ้มก็ไม่มีใครว่า…

    …มาๆๆ มาแทงไฮโลว์กันต่อดีกว่า มันส์กว่ากันเยอะเลยพวกเอ็งเอ๋ย”

    ว่าพลางลุงสอ ก็เอื้อมมือไปเหมือนจะเปิดกะลาครอบลูกไฮโลว์

    ไอ้เด็กดอย เดาดึก พูดผ่ากลางปล้องขึ้นว่า “ช้าก่อนเด้ลุง!” ยกมือขวางแล้วว่าต่อ “ผมขอรินฟังเสียงหน่อยได้ป่ะ?”

    “ตามตะใจเอ็งเท้อะ อยากรินก็ริน อยากฟังก็ฟัง ข้าไม่ขัดข้องอยู่แล้ว”

    ความสนใจของทุกคนพุ่งกลับมายังกะลาที่ครอบลูกเต๋าอีกครั้ง ขณะที่ทุกคนอยู่ในความเงียบและเงี่ยหูฟังเสียงรินลูกเต๋านั้น

    “ปู้ด!”

    ไอ้เด็กดอย ขำกลิ้งอยู่คนเดียวที่หลอกตดให้คนทั้งวงฟังเต็มสองรูหู ยังไม่ทันที่มันจะได้ขำอย่างหนำใจ ก็ต้องกระเด็นผางออกไปด้วยแรงถีบของลุงสอ มันนอนกลิ้งเอามือกุมท้องอยู่บนพื้นด้วยความจุก ทุกคนหันไปมองพลางหัวเราะ

    ลุงสอพูดขำๆ ขึ้นว่า

    “บอกก็แล้ว เตือนก็แล้ว ว่าอย่ามาล้อเล่นกับผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ เวรกรรมมันจะตามทันก็ไม่เชื่อ เป็นไงล่ะคราวนี้ เชื่อแล้วใช่ไหมว่ากรรมมีจริง – หือ!”

  29. อรุณสวัสดิ์ค่า

    .

    เมื่อคืนฝนตกหนักเป็นบ้าเลยล่ะค่ะท่านรอง ฯ
    จะตกอะหยังปะล้ำปะเหลือก่บ่ฮู้
    แต่มันก็ทำให้อากาศเย็นสบายดีเป็นที่สุดเลยล่ะ

    สุขสันต์วันนนี้นะคะท่าน

    .
    .

    เอ่อ ..
    อะแฮ่ม .. !!

    ท่านป๋าสอ โปรดทราบ
    อาการปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวนั้น
    มันเป็นอาการ “แตกเนื้อสาว” อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ

    จริง
    จริ๊งงงงงงงงงง .. !!

    -จขบ.- 😀

Leave a reply to สิญจน์ สวรรค์เสก Cancel reply